เด็กชายวัย 13 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ถูกครูสั่งแยกนั่งกับนักเรียนคนอื่น และสั่งไม่ให้เข้าห้องสอบ จนไม่มีคะแนน เพราะคิดว่าเป็นโรคติดต่อ หวั่นแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่น
โจวเสี่ยวโจว คือเด็กชายชาวจีน วัย 13 ปี ชีวิตของเขามีความสุข มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลังของวัยรุ่น เหมือน ๆ กับเด็กชายทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่แล้วในวันหนึ่ง ชีวิตของเสี่ยวโจวและครอบครัวก็เปลี่ยนไป ความสุขที่มีได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเศร้า เพราะเขาล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ สมาชิกในครอบครัวพยายามปลอบโยนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปให้ได้ เสี่ยวโจวเองก็พยายามเข้มแข็ง และไปเรียนตามปกติ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ได้ทำให้สภาพจิตใจของเด็กชายที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ดิ่งวูบลงไปมากกว่าเดิม เพราะทุกคนต่างก็ปฏิบัติกับเขาด้วยความรังเกียจ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ถึงขั้นถูกบังคับให้แยกออกไปสอบคนเดียว
จากการรายงานของเว็บไซต์เดอะซัน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ระบุว่า ครอบครัวค้นพบว่าเสี่ยวโจวป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเอ็นเอชแอล (NHL - Non-Hodgkin's Lymphoma) ตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกเขาจึงให้เสี่ยวโจวย้ายโรงเรียนใหม่ ไปที่โรงเรียนเหลียนเฉิง ตั้งอยู่ในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เนื่องจากพ่อแม่ของเขาอยู่ที่นั่น ทั้งสองจึงสามารถดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด และเวลาไปรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือการให้คีโม ที่โรงพยาบาล ก็ไม่ต้องเดินทางไกล สะดวกทั้งพ่อแม่และตัวเสี่ยวโจวเองด้วย
เสี่ยวโจวเองก็พอจะมีกำลังในการต่อสู้กับโรคร้าย เพราะเขามีพ่อแม่ที่ห่วงใยคอยดูแลอยู่ตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตในโรงเรียนใหม่มันไม่ได้เป็นไปด้วยดีอย่างที่คิด โดยครูประจำชั้นได้สั่งให้เสี่ยวโจวแยกออกไปนั่งที่อื่นในห้องเรียน ห้ามไม่ให้มานั่งปะปนกับเด็กคนอื่น เพราะครูเชื่อว่าโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เสี่ยวโจวเป็น คือโรคร้ายแรงที่สามารถติดต่อกันได้ ด้วยเหตุนี้ เด็ก ๆ คนอื่นจึงหวาดกลัวเสี่ยวโจวมาก และไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เขา เสี่ยวโจวเลยต้องนั่งเรียนห่างจากคนอื่น ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนกล้าเข้าใกล้
พ่อแม่ของเสี่ยวโจวไม่รู้เลยว่าลูกชายถูกปฏิบัติแบบนั้นที่โรงเรียน เพราะเขาเก็บเงียบเอาไว้ กลัวว่าบอกไปแล้วทุกคนจะเป็นห่วง แต่ความจริงก็มาเปิดเผยในที่สุด โดยในช่วงสอบมิดเทอม โจวสงอิง พ่อของเสี่ยวโจว พบว่าผลสอบของลูกชายนั้นว่างเปล่า ไม่มีคะแนนแม้แต่คะแนนเดียว ได้แต่เลขศูนย์มาแบบกลม ๆ เขาจึงสอบถามลูกว่าเพราะอะไร เพราะมันแปลกประหลาดมาก ต่อให้ลูกเรียนไม่รู้เรื่องหรือทำไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยมันก็คงมีสักข้อสองข้อที่เขาพอทำได้ และอาจจะได้คะแนนมาบ้าง
เสี่ยวโจวจึงบอกพ่อไปว่าครูห้ามไม่ให้เขาเข้าห้องสอบ เพราะกลัวว่าเขาจะแพร่กระจายเชื้อโรคร้ายไปติดเด็กคนอื่น และเสี่ยวโจวก็พลาดการสอบมิดเทอมไปแล้วถึง 3 วิชา
เมื่อสงอิงได้ยินลูกเล่ามาแบบนั้น เขาก็ตกใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขาได้โพสต์เล่าเรื่องเลวร้ายนี้ลงบนสังคมออนไลน์ เพื่อแชร์ให้สังคมได้รับทราบว่าลูกชายที่ป่วยหนักของเขาถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย และมันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้ว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็ไม่ใช่โรคที่สามารถติดต่อกันได้ และทุกวันนี้เสี่ยวโจวก็ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว
"มีใครนึกภาพออกไหมว่าลูกชายของผมต้องรู้สึกยังไง ตลอดเวลา 45 นาที ของการสอบ เขาถูกบังคับให้ออกไปนั่งรอข้างนอกเหมือนตัวประหลาด คุณจินตนาการออกไหมว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน" สงอิง กล่าวอย่างเจ็บปวด ถึงสิ่งที่ลูกชายของเขาได้รับ
โจวเสี่ยวโจว คือเด็กชายชาวจีน วัย 13 ปี ชีวิตของเขามีความสุข มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลังของวัยรุ่น เหมือน ๆ กับเด็กชายทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่แล้วในวันหนึ่ง ชีวิตของเสี่ยวโจวและครอบครัวก็เปลี่ยนไป ความสุขที่มีได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเศร้า เพราะเขาล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์นี้ สมาชิกในครอบครัวพยายามปลอบโยนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปให้ได้ เสี่ยวโจวเองก็พยายามเข้มแข็ง และไปเรียนตามปกติ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ได้ทำให้สภาพจิตใจของเด็กชายที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ดิ่งวูบลงไปมากกว่าเดิม เพราะทุกคนต่างก็ปฏิบัติกับเขาด้วยความรังเกียจ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ถึงขั้นถูกบังคับให้แยกออกไปสอบคนเดียว
จากการรายงานของเว็บไซต์เดอะซัน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ระบุว่า ครอบครัวค้นพบว่าเสี่ยวโจวป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนอน-ฮอดจ์กิน หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเอ็นเอชแอล (NHL - Non-Hodgkin's Lymphoma) ตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกเขาจึงให้เสี่ยวโจวย้ายโรงเรียนใหม่ ไปที่โรงเรียนเหลียนเฉิง ตั้งอยู่ในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เนื่องจากพ่อแม่ของเขาอยู่ที่นั่น ทั้งสองจึงสามารถดูแลลูกได้อย่างใกล้ชิด และเวลาไปรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือการให้คีโม ที่โรงพยาบาล ก็ไม่ต้องเดินทางไกล สะดวกทั้งพ่อแม่และตัวเสี่ยวโจวเองด้วย
เสี่ยวโจวเองก็พอจะมีกำลังในการต่อสู้กับโรคร้าย เพราะเขามีพ่อแม่ที่ห่วงใยคอยดูแลอยู่ตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ชีวิตในโรงเรียนใหม่มันไม่ได้เป็นไปด้วยดีอย่างที่คิด โดยครูประจำชั้นได้สั่งให้เสี่ยวโจวแยกออกไปนั่งที่อื่นในห้องเรียน ห้ามไม่ให้มานั่งปะปนกับเด็กคนอื่น เพราะครูเชื่อว่าโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เสี่ยวโจวเป็น คือโรคร้ายแรงที่สามารถติดต่อกันได้ ด้วยเหตุนี้ เด็ก ๆ คนอื่นจึงหวาดกลัวเสี่ยวโจวมาก และไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เขา เสี่ยวโจวเลยต้องนั่งเรียนห่างจากคนอื่น ๆ ทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนกล้าเข้าใกล้
พ่อแม่ของเสี่ยวโจวไม่รู้เลยว่าลูกชายถูกปฏิบัติแบบนั้นที่โรงเรียน เพราะเขาเก็บเงียบเอาไว้ กลัวว่าบอกไปแล้วทุกคนจะเป็นห่วง แต่ความจริงก็มาเปิดเผยในที่สุด โดยในช่วงสอบมิดเทอม โจวสงอิง พ่อของเสี่ยวโจว พบว่าผลสอบของลูกชายนั้นว่างเปล่า ไม่มีคะแนนแม้แต่คะแนนเดียว ได้แต่เลขศูนย์มาแบบกลม ๆ เขาจึงสอบถามลูกว่าเพราะอะไร เพราะมันแปลกประหลาดมาก ต่อให้ลูกเรียนไม่รู้เรื่องหรือทำไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยมันก็คงมีสักข้อสองข้อที่เขาพอทำได้ และอาจจะได้คะแนนมาบ้าง
เสี่ยวโจวจึงบอกพ่อไปว่าครูห้ามไม่ให้เขาเข้าห้องสอบ เพราะกลัวว่าเขาจะแพร่กระจายเชื้อโรคร้ายไปติดเด็กคนอื่น และเสี่ยวโจวก็พลาดการสอบมิดเทอมไปแล้วถึง 3 วิชา
เมื่อสงอิงได้ยินลูกเล่ามาแบบนั้น เขาก็ตกใจและโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เขาได้โพสต์เล่าเรื่องเลวร้ายนี้ลงบนสังคมออนไลน์ เพื่อแชร์ให้สังคมได้รับทราบว่าลูกชายที่ป่วยหนักของเขาถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย และมันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้ว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็ไม่ใช่โรคที่สามารถติดต่อกันได้ และทุกวันนี้เสี่ยวโจวก็ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว
"มีใครนึกภาพออกไหมว่าลูกชายของผมต้องรู้สึกยังไง ตลอดเวลา 45 นาที ของการสอบ เขาถูกบังคับให้ออกไปนั่งรอข้างนอกเหมือนตัวประหลาด คุณจินตนาการออกไหมว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน" สงอิง กล่าวอย่างเจ็บปวด ถึงสิ่งที่ลูกชายของเขาได้รับ
ด้านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา เขตพื้นที่ฮุ่ยอัน ของมณฑลฝูเจี้ยน เปิดเผยว่า ทางสำนักงานรับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ครูผู้สั่งกีดกันเสี่ยวโจว ไม่ได้เป็นแค่ครูประจำชั้นอย่างเดียว แต่ยังเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย ขณะนี้ครูคนดังกล่าวได้ถูกสั่งพักราชการแล้ว และทางสำนักงานจะเร่งสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียดต่อไป
