ไฟไหม้กุฏิพระวอดหนัก รถดับเพลิงเสีย ชาวบ้าน - พระ ดับไฟทุลักทุเล สูญนับแสน

          ไฟไหม้กุฏิพระ วัดโป่งทองชัยพัฒนาราม จ.บึงกาฬ พระและชาวบ้านช่วยกันขนย้ายข้าวของ เร่งดับน้ำกันโกลาหล รถดับเพลิงของอบต.เกิดเสีย มาช่วยไม่ได้ ต้องส่งรถดับเพลิงจากที่อื่นมาแทน แต่กว่าจะมาถึง ไฟก็มอดไปมากแล้ว เผยมีทรัพย์สินเสียหายหลายรายการ รวมแล้วกว่า 1 แสนบาท 
          เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า เกิดเหตุไฟไหม้กุฏิพระ ภายในวัดโป่งทองชัยพัฒนาราม ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.โป่งเปือย อ.เมือง จ.บึงกาฬ โดยกุฏิดังกล่าวมีลักษณะเป็นครึ่งปูนครึ่งไม้ เปลวเพลิงได้ลมขึ้นไปลุกไหม้บริเวณชั้นสอง และโหมลุกไหม้อย่างรุนแรงมาก ชาวบ้านและพระระดมกำลังกันเข้ามาขนย้ายทรัพย์สินหนีไฟ รวมทั้งช่วยกันตักน้ำจากโอ่งน้ำใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง เร่งเอาไปสาดน้ำดับไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกไหม้ไปยังกุฏิใกล้เคียง เปลวไฟได้ลุกไหม้อยู่ประมาณ 20 นาที ไฟก็เบาลง กว่าที่รถดับเพลิงจะมาถึง ไฟก็มอดไปมากแล้ว

          สำหรับสาเหตุที่รถดับเพลิงไม่มาช่วยนั้น เจ้าหน้าที่ อบต.โป่งเปือย เปิดเผยว่า รถดับเพลิงของทาง อบต. ค่อนข้างเก่าและเกิดชำรุดเสียหายมาแล้วบ่อยครั้ง ล่าสุดหัวฉีดน้ำที่ติดกับตัวรถก็เกิดแตกเสียหาย ไม่สามารถฉีดน้ำได้ ทางเจ้าหน้าที่จึงนำรถเข้าไปซ่อม หลังจากทราบข่าวไฟไหม้กุฏิพระที่วัดโป่งทองชัยพัฒนาราม ก็ได้ประสานงานขอความช่วยเหลือไปยังสำนักงานเทศบาลและ อบต. ใกล้เคียง ให้เข้ามาดับไฟโดยเร็วที่สุด

          ทางด้าน พระฉลอง สมจิตโต เจ้าของกุฏิที่ไฟไหม้ เปิดเผยว่า ในตอนเกิดเหตุ ไม่ได้อยู่ที่กุฏิ เพราะเข้าตัวเมืองไปซื้อข้าวของสำหรับใช้ในพิธีหล่อพระรับปีใหม่ ที่จะจัดขึ้นในช่วง 30-31 ธันวาคม ก่อนออกไปก็ได้ตรวจสอบดูความเรียบร้อยแล้ว และไม่ได้จุดธูปเทียนอะไรเอาไว้ ก่อนออกจากกุฏิก็ตรวจตาดูแล้วว่าไม่ได้จุดธูปเทียนอะไรไว้ ขณะที่พระลูกวัด เล่าว่า ในช่วงก่อนเกิดเหตุ ได้ยินเสียงคล้ายระเบิด 2 ครั้ง ดังมาจากชั้นสองของกุฏิดังกล่าว หลังจากนั้นก็พบเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาและมองเห็นเปลวไฟลุกท่วม บริเวณชั้นสองของกุฏิแห่งนี้ ได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยที่ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเอาไว้ใช้ในพิธีหล่อพระ ทั้งหมดถูกไฟไหม้เสียหาย มูลค่ารวมแล้วกว่า 100,000 บาท

          ทั้งนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หอคำ และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จ.บึงกาฬ จะเข้ามาตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง