พ่อใจสลาย จำต้องลั่นไก ยิงลูกชายตายต่อหน้า หลังเกิดเหตุวิวาทระหว่างสองพี่น้อง ทั้งนี้เพื่อปกป้องไม่ให้ลูกชายคนเล็กถูกฆ่าตาย จากอารมณ์รุนแรงของลูกคนโต
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2561 เว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 ธันวาคม) ขณะนั้น โจเซฟ มาโลนี วัย 30 ปี ซึ่งดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจนเมามาย เกิดมีปากเสียงและวิวาทกับ เจมส์ น้องชายวัย 26 ปี ที่อยู่ในอาการมึนเมาไม่ต่างกัน ทั้งคู่ใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน ต่อหน้าพ่อและแม่ที่พยายามเข้ามาห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล
กระทั่งในจุดหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็ก
พยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิตจากพี่ชาย ที่ใช้มือหนึ่งบีบคอเขาจนหายใจไม่ออก
ส่วนอีกมือกำมีดเงื้อขึ้นสูง มันทำให้เขาไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป จอห์น
มาโลนี พ่อวัย 56 ปี จึงได้ใช้ปืนพกในมือ
ลั่นไกยิงใส่ลูกชายคนโตเข้าไปหลายนัด
ด้าน วิลเลียม สไนเดอร์ นายอำเภอจากเขตมาร์ติน เคาน์ตี้ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เผยว่า ภรรยาของจอห์นได้โทร. มาแจ้งเจ้าหน้าที่ ขอให้เข้าไปช่วยระงับความรุนแรงดังกล่าว แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างทางไปยังบ้านของพวกเขา เธอก็ได้โทร. มาอีกครั้ง บอกว่า สามีของเธอได้ยิงลูกชายไปแล้ว
ด้านเว็บไซต์ kdvr.com รายงานว่า เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบว่าโจเซฟเสียชีวิตแล้วจากการถูกยิง และจากการสอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ทราบว่าหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ โจเซฟได้แสดงพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าวอย่างหนัก เขานำมีดขนาดใหญ่มาทุบและฟันเข้าที่ประตูห้องนอนของพ่อแม่ จนทิ้งรอยมีดไว้อย่างเห็นเด่นชัด ในตอนนั้นจอห์นพยายามเข้ามากล่อมลูกให้สงบ และพาตัวเขาออกไปจากห้องนอน
จากนั้นดูเหมือนว่า 2 พี่น้องจะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป และมีการเล่นเกมด้วยกัน แต่แล้วพวกเขาก็เกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน กระทั่งสถานการณ์บานปลายเมื่อมีฝ่ายหนึ่ง เริ่มใช้ความรุนแรงเข้าทำร้ายอีกฝ่าย และนำไปสู่เหตุสลดในที่สุด
จอห์น ยอมรับว่าเขาได้พยายามเข้าไปแทรกแซงสถานการณ์ด้วยวาจาแล้ว และยังจะเข้าไปดึงตัวโจเซฟออกมาจากลูกชายคนเล็ก แต่สุดท้ายเขาก็ห้ามปรามทั้งคู่ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลังจากสอบสวน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการจับกุมหรือตั้งข้อหาแก่จอห์น โดยชี้ว่าเขามีความชอบธรรมที่จะใช้กำลังรุนแรงถึงชีวิตนั้นแล้ว เพื่อป้องกันตัว หรือป้องกันการเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อลูกชายคนเล็กของเขา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่สภาพจิตใจของผู้เป็นพ่อนั้นแตกสลายอย่างเห็นได้ชัด
"ผมไม่รู้จะอธิบายสีหน้าของเขาได้อย่างไร ไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้คนเป็นพ่อ จะยังทำอะไรต่อไปได้บ้าง" วิลเลียม กล่าว
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
หัวอกคนเป็นพ่อแม่ย่อมรักลูกสุดใจ
ไม่ว่าอะไรที่จะทำได้เพื่อช่วยลูกให้รอดพ้นจากอันตราย
พวกเขาย่อมทำได้อย่างไม่ลังเล
แต่ถึงอย่างนั้นพ่อคนหนึ่งกลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุดเศร้า
ที่ทำให้ใจของเขาแทบแตกสลาย เมื่อเขาถูกสถานการณ์บีบคั้น
จนจำเป็นต้องลั่นไกสังหารลูกชายคนโตของตัวเอง
เพื่อจะปกป้องลูกชายอีกคนให้รอดพ้นจากความตาย
โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2561 เว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 ธันวาคม) ขณะนั้น โจเซฟ มาโลนี วัย 30 ปี ซึ่งดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจนเมามาย เกิดมีปากเสียงและวิวาทกับ เจมส์ น้องชายวัย 26 ปี ที่อยู่ในอาการมึนเมาไม่ต่างกัน ทั้งคู่ใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน ต่อหน้าพ่อและแม่ที่พยายามเข้ามาห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล
ด้าน วิลเลียม สไนเดอร์ นายอำเภอจากเขตมาร์ติน เคาน์ตี้ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ เผยว่า ภรรยาของจอห์นได้โทร. มาแจ้งเจ้าหน้าที่ ขอให้เข้าไปช่วยระงับความรุนแรงดังกล่าว แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างทางไปยังบ้านของพวกเขา เธอก็ได้โทร. มาอีกครั้ง บอกว่า สามีของเธอได้ยิงลูกชายไปแล้ว
ด้านเว็บไซต์ kdvr.com รายงานว่า เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบว่าโจเซฟเสียชีวิตแล้วจากการถูกยิง และจากการสอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ทราบว่าหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ โจเซฟได้แสดงพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าวอย่างหนัก เขานำมีดขนาดใหญ่มาทุบและฟันเข้าที่ประตูห้องนอนของพ่อแม่ จนทิ้งรอยมีดไว้อย่างเห็นเด่นชัด ในตอนนั้นจอห์นพยายามเข้ามากล่อมลูกให้สงบ และพาตัวเขาออกไปจากห้องนอน
จากนั้นดูเหมือนว่า 2 พี่น้องจะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป และมีการเล่นเกมด้วยกัน แต่แล้วพวกเขาก็เกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน กระทั่งสถานการณ์บานปลายเมื่อมีฝ่ายหนึ่ง เริ่มใช้ความรุนแรงเข้าทำร้ายอีกฝ่าย และนำไปสู่เหตุสลดในที่สุด
จอห์น ยอมรับว่าเขาได้พยายามเข้าไปแทรกแซงสถานการณ์ด้วยวาจาแล้ว และยังจะเข้าไปดึงตัวโจเซฟออกมาจากลูกชายคนเล็ก แต่สุดท้ายเขาก็ห้ามปรามทั้งคู่ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหลังจากสอบสวน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำการจับกุมหรือตั้งข้อหาแก่จอห์น โดยชี้ว่าเขามีความชอบธรรมที่จะใช้กำลังรุนแรงถึงชีวิตนั้นแล้ว เพื่อป้องกันตัว หรือป้องกันการเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อลูกชายคนเล็กของเขา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่สภาพจิตใจของผู้เป็นพ่อนั้นแตกสลายอย่างเห็นได้ชัด
"ผมไม่รู้จะอธิบายสีหน้าของเขาได้อย่างไร ไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้คนเป็นพ่อ จะยังทำอะไรต่อไปได้บ้าง" วิลเลียม กล่าว