ภูมิใจไทย ยูเนสโก ประกาศรับรอง "โขน" ประเทศไทย เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ


 
         พาไปทำความรู้จักกับ "โขน" นาฏศิลป์ชั้นสูงอันทรงคุณค่าของคนไทย ที่ได้รับการขึ้นบัญชีรายการมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ โดยองค์การยูเนสโก
โขน

          ลุ้นกันอย่างหนักหน่วงหลังจากที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ส่งชื่อ "โขน" ประเทศไทย เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ล่าสุดเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๓ ณ สาธารณรัฐมอริเชียส มีผู้แทนจากประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เข้าร่วมประชุม ๑๘๑ ประเทศ ได้มีการพิจารณาและประกาศรับรองการขึ้นบัญชี "โขน" (Khon, masked dance drama in Thailand) ให้เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ อย่างเป็นทางการแล้วค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่นาฏศิลป์และศิลปะชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทยได้รับการยอมรับจากเวทีนานาชาติ วันนี้เราเลยจะพาไปภาคภูมิใจพร้อม ๆ กับเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโขนกันให้มากขึ้นค่ะ

ประวัติโขน

          "โขน" ศิลปะการแสดงที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของ "ลาลูแบร์" ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า "เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่น ๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ"

โขน

          กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้มีการประกาศขึ้นบัญชี "โขน" เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่น รวมศาสตร์และศิลป์หลายแขนงเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนาฏศิลป์ ดนตรี วรรณกรรม พิธีกรรม มีทั้งบทพากย์เสียง บทร้อง ลีลา การร่ายรำ การสื่อสารด้วยท่าทางของผู้แสดง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยงานช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ เช่น ฉาก อุปกรณ์ประกอบการแสดง เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ การประดิษฐ์หัวโขน ศิลปะการแต่งหน้าผู้แสดง องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้โขนเป็นมากกว่ามหรสพที่บรรพชนไทยสร้างสรรค์ขึ้นและยังคงสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น

โขน

          คุณค่าของโขนจึงมิใช่เป็นแค่เพียงศิลปะการแสดง แต่ยังผสานและสะท้อนถึงวิถีแห่งความเป็นไทยไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนที่ปรากฏในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และไทย

โขน

          โดยทั้งหมดได้รับเอาวัฒนธรรมมาจากประเทศอินเดีย ซึ่งดัดแปลงจากวรรณกรรม เรื่อง "รามายณะ" และมีการพัฒนารูปแบบของการแสดงโขนในแบบฉบับของตนเองจนเป็นอัตลักษณ์ของแต่ประเทศ โดยเฉพาะ "โขนในประเทศไทย" ได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นศิลปะการแสดงที่วิจิตร งดงาม อลังการ ทรงคุณค่า สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิให้ประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ประเภทของโขน

          โขน จะแสดงเรื่องรามเกียรติ์เพียงเรื่องเดียว โดยลักษณะสำคัญของโขนอยู่ที่ผู้แสดงต้องสวมหัวโขนหมดทุกตัว ยกเว้นตัวพระ ตัวนาง และตัวเทวดา มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบท ให้มีคนพากย์และเจรจา

โขน

          สำหรับพัฒนาการของการแสดงโขนจำแนกประเภท ดังนี้

          ๑. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนบนพื้นกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรง ใช้ภูมิประเทศ ธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครทุกตัวต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบกันเป็นพื้น จึงแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ฝ่าย ผลัดกันออกมาแสดงดำเนินเรื่อง ดังนั้นจึงต้องใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดงพร้อมกัน ๒ วง ไม่มีบทร้อง มีแต่บทพากย์และเจรจาบ้าง

          ๒. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงโขนบนโรง ไม่มีเตียงสำหรับตัวนายโรงนั่ง มีราวพาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราว ตัวโรงมักมีหลังคา เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนแล้วก็จะไปนั่งบนราว สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง ส่วนผู้แสดงเป็นเสนาหรือวานรยังคงนั่งพื้นแสดงปกติ การแสดงโขนประเภทนี้ไม่มีการขับร้อง มีแต่การพากย์และเจรจา ดนตรีมีวงปี่พาทย์ ๒ วง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์

          ๓. โขนหน้าจอ เป็นโขนที่แสดงตรงหน้าจอหนังใหญ่ โดยเจาะผ้าดิบทั้ง ๒ ข้างของจอ ทำเป็นช่องประตูเข้าออก แล้วทำเป็นซุ้มประตู ด้านหนึ่งเป็นปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา อีกด้านหนึ่งเป็นค่ายพลับพลาพระราม แล้วโขนก็ขึ้นไปแสดงบนโรง มีการพากย์และเจรจา มีดนตรี ปี่พาทย์ประกอบการแสดงเพียงวงเดียว

โขน

          ๔. โขนโรงใน เป็นศิลปะการผสมผสานระหว่างโขนหน้าจอกับละครใน คือเริ่มมีผู้แสดงหญิงเข้ามาปะปน มีการออกท่ารำ เต้น ผู้แสดงเป็นตัวพระเริ่มไม่ต้องสวมหัวโขน มีการพากย์และเจรจาตามแบบโขน นำเพลงขับร้องและเพลงดนตรีแบบละครในและระบำรำฟ้อนเข้าผสมด้วย โขนที่กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ใช้ศิลปะการแสดงแบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม

          ๕. โขนฉากหรือโขนโรง สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นราวรัชกาลที่ ๕ โดยมีผู้คิดสร้างฉากมาประกอบการแสดงโขนบนเวทีในโรง (วิก) คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ การแสดงแบ่งเป็นฉากเป็นตอนและมีการประดิษฐ์ฉากขึ้นประกอบตามท้องเรื่อง วิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน มีการขับร้อง รำ เต้น และมีเพลงหน้าพาทย์


เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ

          ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโขน คือ เครื่องแต่งกาย แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์-เทวดา (พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ และฝ่ายลิง โดยแบ่งลักษณะเครื่องแต่งกายได้ ๓ ประเภท คือ เครื่องประดับศีรษะ  เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม  และเครื่องประดับกายต่าง ๆ

โขน

โขน

โขน

วงดนตรีและเครื่องประกอบ

          การพากย์โขนก็เป็นศิลปะสำคัญควบคู่กับการแสดงโขน เพื่อใช้ในการบรรยายและแสดงอารมณ์ประกอบตัวแสดง ซึ่งบทพากย์ใช้สำหรับเดินเรื่องการแสดงโขน แต่งด้วยคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง ๑๖ หรือกาพย์ยานี ๑๑ บทพากย์มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป บทเจรจาเป็นบทร่ายยาว ส่งและรับสัมผัสกันไปเรื่อย ๆ ใช้ได้ทุกโอกาส คนพากย์และเจรจานี้ใช้ผู้ชายไม่น้อยกว่า ๒ คน เพื่อจะได้โต้ตอบกันทันท่วงที เมื่อพากย์หรือเจรจาจบกระบวนความแล้วต้องการให้ปี่พาทย์ทำเพลงอะไรก็ร้องบอกไป เรียกว่า "บอกหน้าพาทย์"

โขน

          ส่วนวงดนตรีประกอบการแสดงโขนใช้ "วงปี่พาทย์" อาจเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ตามความเหมาะสม

โอกาสที่แสดงโขน

          การแสดงโขนสามารถใช้แสดงได้หลายวาระ ได้แก่ แสดงเป็นมหกรรมบูชา เช่น ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพหรืออัฐิเจ้านาย ตลอดจนศพขุนนางหรือผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือทั่วไป แสดงเป็นมหรสพสมโภช เช่น ในงานฉลองปูชนียสถาน พระอาราม หรือสมโภชเจ้านายทรงบรรพชา สมโภชในงานเฉลิมพระชนมพรรษา สมโภชวันประสูติเจ้านายที่สูงศักดิ์ เป็นต้น และแสดงเป็นมหรสพเพื่อความบันเทิงในโอกาสทั่ว ๆ ไป

โขน

          และด้วยพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขน-ละครขึ้นใหม่ เนื่องจากมีพระราชดำริว่าในปัจจุบันการแสดงโขนถดถอยลงเรื่อย ๆ ทั้งในเรื่องความไม่พิถีพิถันและไม่ให้รายละเอียดในการปัก การถัก การแต่งหน้า อีกทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงมีความเก่า ทรุดโทรม เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของโขนอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

โขน

โขน

          และเพื่อเป็นการสืบสานศิลปะงานฝีมือ เช่น ช่างทำหัวโขน ช่างปักสะดึงกรึงไหม และช่างเงิน-ช่างทอง รวมทั้งศิลปะการแต่งหน้า ที่แสดงออกถึงความเป็นศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ ปัจจุบันองค์กรที่ทำหน้าที่ในการสืบสานศิลปะการแสดงโขนได้อย่างโดดเด่น ได้แก่ กรมศิลปากร และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม

โขน

โขน...มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ



          "โขน" เป็นรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย รายการแรกที่นำเสนอต่อ ยูเนสโกพิจารณา หลังจากประเทศไทยได้เข้าร่วมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ลำดับสมาชิกที่ ๑๗๐

โขน

          การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าว มีผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในหลายด้าน เช่น สามารถนำเสนอ "รายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ" ที่เป็นของไทยต่อยูเนสโก ทั้งยังสามารถขอความช่วยเหลือหรือความร่วมมือจากระหว่างประเทศ เช่น เรื่องการฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ หรือการทำกิจกรรมร่วมกันกับประเทศสมาชิก รวมถึงการของบประมาณหรือเทคนิคในการส่งเสริมรักษามรดกภูมิปัญญาฯ ของไทย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจแก่คนในชาติ และทำให้ชาติอื่นได้รับรู้ถึงมรดกภูมิปัญญาของประเทศไทย และมีส่วนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย

โขน

          ทั้งนี้ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ได้เสนอ "นวดไทย" เพื่อขึ้นบัญชีของยูเนสโก ซึ่งขณะนี้อยู่ในรายการพิจารณาของยูเนสโกเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนยังมีการศึกษาแนวทางการเสนอมรดกวัฒนธรรมภูมิปัญญาที่มีความคล้ายคลึงกันกับประเทศต่างๆ เพื่อเสนอเพิ่มเติมอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ภูมิใจไทย ยูเนสโก ประกาศรับรอง "โขน" ประเทศไทย เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ อัปเดตล่าสุด 28 ธันวาคม 2561 เวลา 13:50:29 11,807 อ่าน
TOP