หญิงมาเลเซีย วัย 45 ปี ทำศัลยกรรมตาที่ร้านเสริมสวย ผลลัพธ์ออกมาสุดสะพรึง ตาบวมเขียวช้ำ ตาขาวเป็นแผล เจ็บทรมานมาก เผยช่างไม่มีใบอนุญาตใด ๆ แถมจะให้กลับไปทำซ้ำอีกรอบ แต่เจ้าตัวเข็ดสุด ๆ
ในช่วงต้นเดือนที่แล้ว หญิงวัย 45 ปี ที่ชื่อ อัง เดินทางไปเยือนร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในย่านเจอราส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมาเลเซีย หลังจากพบเห็นโฆษณาโปรโมชั่นทำศัลยกรรมเสริมสวย โดยอังตัดสินใจทำศัลยกรรมตาสองชั้นและดูดไขมันใต้ตา หวังว่าจะออกมาสวยปิ๊ง เสริมสร้างความมั่นใจเหมือนกับสมัยที่ยังสาว
ทว่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่อังคาดคิด เพราะเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นและส่องกระจก ก็แทบจะเป็นลมเมื่อเห็นใบหน้าตัวเอง เพราะตาของเธอบวมปูดฟกช้ำ ดูสยดสยองช้ำเลือดช้ำหนอง ตรงกันข้ามกับภาพที่คิดแบบฟ้ากับเหว....
เว็บไซต์เวิลด์ออฟบัซ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562 ระบุว่า อังได้เดินทางไปทำศัลยกรรมตาที่ร้านเสริมสวยดังกล่าวในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เธอได้บอกความประสงค์กับทางร้านว่าตัวเองต้องการทำอะไรบ้าง ช่างเสริมสวยผู้มาจากเมืองจีน ก็จัดการให้ไปตามคำขอ โดยเริ่มทำจากตาข้างซ้าย ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เมื่อมาถึงตาข้างขวา อังก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เพราะมีเลือดไหลออกมาจากแผลเยอะมาก เธอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี จึงได้สอบถามไปว่ามันเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ และสามารถทำต่อไปได้ไหม เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่ช่างก็ไม่ได้ว่าอะไรและทำต่อไป กระทั่งเวลาผ่านไป เลือดยังคงไหลไม่หยุด และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น การศัลยกรรมตาข้างนี้จึงจำเป็นต้องยุติลงไปกลางคัน อังจ่ายเงินค่าทำศัลกรรมไป 3,230 ริงกิต หรือประมาณ 25,100 บาท และเดินทางกลับบ้านหลังจากนั้น
กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น อังตื่นขึ้นมาพบว่าดวงตาของเธอบวมปูด เธอใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันก็อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เพิ่งทำศัลยกรรมตา หลังจากเวลาผ่านไป 5 วัน อังได้ติดต่อไปยังร้านเสริมสวยดังกล่าว เพื่อจะเข้าไปตัดไหมตามนัด แต่ช่างดังกล่าวไม่ยอมพบอัง และให้ลูกน้องเป็นคนตัดไหมให้อัง อ้างว่ามันเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ใครก็ทำได้
ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป อาการของอังก็ไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังแย่ลง ดวงตาของเธอบวมยิ่งกว่าเก่า ช้ำหนักกว่าเดิม กลายเป็นก้อนปูดสีดำอมม่วง และสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอเป็นอย่างมาก รู้สึกทั้งปวดทั้งแสบเหมือนถูกเข็มทิ่มตำ อังติดต่อไปหาทางร้านอีกครั้ง ซึ่งช่างเสนอให้อังกลับมาทำใหม่อีกครั้ง จะได้แก้งานให้ แต่อังไม่เชื่อใจในตัวช่างคนนี้อีกต่อไปแล้ว
เธอตัดสินใจไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูให้รู้ว่ามันเป็นอะไร โดยแพทย์พบว่าตาขาวของอังได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสู้แสงลดลง อยู่ในที่แสงจ้าไม่ได้ และไม่สามารถสวมใส่คอนแทคเลนส์ได้เช่นกัน ปัญหานี้สร้างความเจ็บช้ำให้อังทั้งกายและใจ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่องานของเธอ เพราะเธอไม่สามารถไปทำงานได้เลยหลังจากเกิดเรื่อง และต้องไปหาหมออีกหลายครั้ง
อังพยายามติดต่อไปพูดคุยกับช่าง เพราะอยากสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตาของเธอ แต่ช่างหายเงียบไปและไม่สามารถติดต่อได้ อังจึงตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เพราะเธอเสียเงินค่ารักษาตัวเองไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเสียการเสียงานอีกด้วย โดยอังเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า ก่อนที่จะลงมือทำตา เธอได้สอบถามทางร้านไปว่าใบอนุญาตประกอบการทำศัลยกรรม หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งช่างก็ไม่ได้ตอบคำถามว่ามีหรือไม่ บอกแค่ว่าทำงานในวงการนี้มานานหลายปี มีประสบการณ์มาก และเรียนรู้อะไรต่ออะไรมาเยอะ
"ฉันอยากถามเจ๊เขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตาของฉัน แต่เธอหายตัวไปเฉยเลย ไม่โผล่มาให้เห็น เธอยังหาว่าฉันงี่เง่าไร้เหตุผลอีกด้วย และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจฟ้องร้องเธอ" อัง กล่าว
ในช่วงต้นเดือนที่แล้ว หญิงวัย 45 ปี ที่ชื่อ อัง เดินทางไปเยือนร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในย่านเจอราส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมาเลเซีย หลังจากพบเห็นโฆษณาโปรโมชั่นทำศัลยกรรมเสริมสวย โดยอังตัดสินใจทำศัลยกรรมตาสองชั้นและดูดไขมันใต้ตา หวังว่าจะออกมาสวยปิ๊ง เสริมสร้างความมั่นใจเหมือนกับสมัยที่ยังสาว
ทว่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่อังคาดคิด เพราะเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นและส่องกระจก ก็แทบจะเป็นลมเมื่อเห็นใบหน้าตัวเอง เพราะตาของเธอบวมปูดฟกช้ำ ดูสยดสยองช้ำเลือดช้ำหนอง ตรงกันข้ามกับภาพที่คิดแบบฟ้ากับเหว....
เว็บไซต์เวิลด์ออฟบัซ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562 ระบุว่า อังได้เดินทางไปทำศัลยกรรมตาที่ร้านเสริมสวยดังกล่าวในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เธอได้บอกความประสงค์กับทางร้านว่าตัวเองต้องการทำอะไรบ้าง ช่างเสริมสวยผู้มาจากเมืองจีน ก็จัดการให้ไปตามคำขอ โดยเริ่มทำจากตาข้างซ้าย ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เมื่อมาถึงตาข้างขวา อังก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เพราะมีเลือดไหลออกมาจากแผลเยอะมาก เธอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี จึงได้สอบถามไปว่ามันเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ และสามารถทำต่อไปได้ไหม เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่ช่างก็ไม่ได้ว่าอะไรและทำต่อไป กระทั่งเวลาผ่านไป เลือดยังคงไหลไม่หยุด และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น การศัลยกรรมตาข้างนี้จึงจำเป็นต้องยุติลงไปกลางคัน อังจ่ายเงินค่าทำศัลกรรมไป 3,230 ริงกิต หรือประมาณ 25,100 บาท และเดินทางกลับบ้านหลังจากนั้น
กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น อังตื่นขึ้นมาพบว่าดวงตาของเธอบวมปูด เธอใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันก็อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เพิ่งทำศัลยกรรมตา หลังจากเวลาผ่านไป 5 วัน อังได้ติดต่อไปยังร้านเสริมสวยดังกล่าว เพื่อจะเข้าไปตัดไหมตามนัด แต่ช่างดังกล่าวไม่ยอมพบอัง และให้ลูกน้องเป็นคนตัดไหมให้อัง อ้างว่ามันเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ใครก็ทำได้
ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป อาการของอังก็ไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังแย่ลง ดวงตาของเธอบวมยิ่งกว่าเก่า ช้ำหนักกว่าเดิม กลายเป็นก้อนปูดสีดำอมม่วง และสร้างความเจ็บปวดให้กับเธอเป็นอย่างมาก รู้สึกทั้งปวดทั้งแสบเหมือนถูกเข็มทิ่มตำ อังติดต่อไปหาทางร้านอีกครั้ง ซึ่งช่างเสนอให้อังกลับมาทำใหม่อีกครั้ง จะได้แก้งานให้ แต่อังไม่เชื่อใจในตัวช่างคนนี้อีกต่อไปแล้ว
เธอตัดสินใจไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูให้รู้ว่ามันเป็นอะไร โดยแพทย์พบว่าตาขาวของอังได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการสู้แสงลดลง อยู่ในที่แสงจ้าไม่ได้ และไม่สามารถสวมใส่คอนแทคเลนส์ได้เช่นกัน ปัญหานี้สร้างความเจ็บช้ำให้อังทั้งกายและใจ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่องานของเธอ เพราะเธอไม่สามารถไปทำงานได้เลยหลังจากเกิดเรื่อง และต้องไปหาหมออีกหลายครั้ง
อังพยายามติดต่อไปพูดคุยกับช่าง เพราะอยากสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตาของเธอ แต่ช่างหายเงียบไปและไม่สามารถติดต่อได้ อังจึงตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เพราะเธอเสียเงินค่ารักษาตัวเองไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเสียการเสียงานอีกด้วย โดยอังเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า ก่อนที่จะลงมือทำตา เธอได้สอบถามทางร้านไปว่าใบอนุญาตประกอบการทำศัลยกรรม หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งช่างก็ไม่ได้ตอบคำถามว่ามีหรือไม่ บอกแค่ว่าทำงานในวงการนี้มานานหลายปี มีประสบการณ์มาก และเรียนรู้อะไรต่ออะไรมาเยอะ
"ฉันอยากถามเจ๊เขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตาของฉัน แต่เธอหายตัวไปเฉยเลย ไม่โผล่มาให้เห็น เธอยังหาว่าฉันงี่เง่าไร้เหตุผลอีกด้วย และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันตัดสินใจฟ้องร้องเธอ" อัง กล่าว
ทั้งนี้ อังได้แจ้งความดำเนินคดีกับทางร้านด้วยเช่นกัน แต่ตำรวจกล่าวว่าไม่สามารถสอบสวนสืบสวนเรื่องนี้ให้ได้ และให้อังไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่ศาลแขวงก่อน ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าปัญหานี้จะจบลงอย่างไร และก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอังจะได้รับค่าเสียหายจากเรื่องนี้หรือไม่