ธนาธร ประกาศโอนทรัพย์สินส่วนตัวเข้า Blind Trust ลั่นนักการเมืองควรมองไม่เห็นทรัพย์สินตัวเองเพื่อความโปร่งใส ด้าน กรณ์ แย้ง โอนเงินให้สถาบันดูแลทำกันมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ชี้ควรโฟกัสที่ผลประโยชน์ทับซ้อนธุรกิจของครอบครัว ยิ่งมองไม่เห็นยิ่งตรวจสอบไม่ได้
นายธนาธร ระบุว่า นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ ในต่างประเทศมีการสร้างมาตรฐานเพื่อให้สาธารณชนไว้วางใจ ซึ่งรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด คือ รูปแบบของ Blind Trust หรือการโอนทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดเข้าไปอยู่ในกองทุนให้บุคคลที่สามเป็นผู้ดูแล โดยเจ้าของทรัพย์สินจะมองไม่เห็น และอำนาจในการบริหารทรัพย์สินอยู่ที่ผู้รับมอบอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
ปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญจะระบุว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือหุ้นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และรัฐมนตรีจะต้องโอนทรัพย์สินไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินเป็นผู้ดูแล แต่ยังสามารถเห็นได้อยู่ ไม่ใช่ Blind Trust ตนจึงต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยการทำให้ทรัพย์สินของตนเป็น Blind ด้วยความสมัครใจโดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ การทำดังกล่าวมีข้อดีอันดับแรกคือ ไม่ต้องวอกแวกไปกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง จึงสามารถทุ่มเทพละกำลังและเวลาเพื่อรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง แสดงให้เห็นว่าการทำงานการเมืองนั้น เพื่อทำให้สังคมดีขึ้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง
นายธนาธร ระบุถึงเงื่อนไขบางส่วนที่อยู่ใน MOU ระหว่างตนเองกับภัทร ว่า จะต้องไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว สามารถลงทุนได้เฉพาะทุนในหุ้นต่างประเทศเท่านั้น เพื่อจำกัดข้อครหาทุกกรณี ว่านโยบายที่ออกไปนั้นจะเป็นนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตน และจะได้กรรมสิทธิ์การบริหารจัดการทรัพย์สินกลับมาเป็นของตัวเองเมื่อผ่านไปแล้ว 3 ปี หลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมือง ส่วนสาเหตุที่เลือกบริษัทภัทรมาเป็นผู้บริหารจัดการกองทุน เพราะมองว่ามีความเป็นมืออาชีพ และไม่เคยมีธุรกิจร่วมกัน และเชื่อมั่นว่าภัทรจะไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งใด ๆ เมื่อตนมีอำนาจ
ส่วนกรณี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของตน จะทำการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทมติชนออกไปเร็ว ๆ นี้นั้น ตนไม่เคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อหุ้นมติชนของครอบครัวเลย เพียงถูกส่งไปนั่งทำงานเป็นกรรมการบริหารเพียงอย่างเดียว โดยทำหน้าที่อย่างสุจริตมาตลอด และหลังจากตัดสินใจเดินทางสายการเมือง ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจก็ไม่เคยส่งใครไปนั่งบริหารแทนตนเลยตั้งแต่นั้นมา
รวมถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าหากมีอำนาจจะเอื้อผลประโยชน์ให้ไทยซัมมิทนั้น ตนยืนยันว่ารายได้เกือบทั้งหมดของไทยซัมมิทมาจากคู่ค้าระดับนานาชาติทั้งหมด แทบไม่มีหน่วยงานรัฐเลย และที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยเป็นคู่สัมปทานกับรัฐ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจกับรัฐ และเชื่อว่าแนวคิดนี้จะดำรงอยู่ต่อไป แต่หากในอนาคตบริษัทไทยซัมมิทจะมีการทำโครงการร่วมกับรัฐ ตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาใด ๆ ทั้งสิ้น และขอให้สาธารณะร่วมกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นด้วย
สำหรับหลักการที่ทำร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมีเงื่อนไขว่า นายธนาธรจะไม่สามารถกระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหาร ครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองได้ โดยเพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน บริษัทจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดให้นายธนาธรหรือบุคคลอื่นใดได้รับทราบถึงรายละเอียดการบริหารจัดการทรัพย์สินทั้งหมด และบริษัทจะต้องไม่เข้าไปลงทุนเป็นหุ้นส่วนในบริษัทที่เป็นคู่ค้ากับรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานรัฐใด ๆ
การโอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล ในลักษณะนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ตนเองทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ และตนก็ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ตนก็เคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ป.ป.ช. ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน แต่เมื่อหลายปีก่อนตนได้ตัดสินใจทำสวนทางกับที่นายธนาธรพยายามที่จะทำคือยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เพราะคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij
ตนคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่นายธนาธรได้ประกาศวันนี้
ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่
แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะมองไม่เห็น
เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่า ท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง
การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้จริง ๆ แล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน คือ การขายขาด อย่าขายให้ Nominee อีกเหมือนในอดีต แต่หากไม่ขาย ตนคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรคือการโอนเข้าไปในที่ที่มองไม่เห็น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
