เปิดคดีฆ่าโหดโสเภณี ลุงวิวาทโสเภณีสาวระหว่างขึ้นเตียง จับบีบคอ-ชำแหละศพโยนทิ้งน้ำ เก็บเนื้อเคี่ยวทำสตูว์ หวังได้ชิมรสในวันหลัง
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 8 พฤษภาคม 2562 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ศาลในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพิ่งมีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต อัลเฟรด ยู วัย 64 ปี ฆาตกรผู้ก่อเหตุฆ่าชำแหละศพโสเภณีชาวฮังการี ก่อนโยนทิ้งลงน้ำกำจัดหลักฐาน เป็นเวลา 13 เดือน นับตั้งแต่มีการพบศพเหยื่อเมื่อปีที่ผ่านมา
รายงานเผยว่า ย้อนกลับไปในช่วงกลางเดือนเมษายน 2561 เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาสอบสวนคดีพบศพไร้หัวของหญิงรายหนึ่ง ที่ลอยอืดอยู่ในทะเลสาบนอยซีดเลอร์ซี ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนฝั่งประเทศฮังการี เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกู้ศพขึ้นมาตรวจสอบ จึงพบตัวอย่างดีเอ็นเอที่นำไปสู่การจับกุมตัวคนร้าย คือ อัลเฟรด ยู ที่อาศัยอยู่ในกรุงเวียนนา
ความจริงปรากฏว่า ก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ อัลเฟรด ยู ได้เจอกับเหยื่อวัย 28 ปี ซึ่งเป็นหญิงขายบริการ ที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เขาตกลงซื้อบริการจากเธอด้วยเงิน 50 ยูโร โดยจ่ายสดไปก่อน แล้วจึงพาเธอกลับมายังบ้านเพื่อประกอบกิจบนเตียง ซึ่งเขาได้ขอให้เธออ่อนโยนกับเขา และเอาใจใส่เขาให้มาก ๆ แต่ฝ่ายเหยื่อกลับไม่ยอมทำตาม
ในจังหวะที่เขากำลังใช้ความอดทน ปรากฏว่าเหยื่อได้ส่งเสียงหัวเราะออกมา มันทำให้เขาไม่พอใจมาก เขาเริ่มใช้ความรุนแรงกับเธอ จนเธอส่งเสียงกรีดร้อง เขาจึงเอื้อมมือไปบีบคอเหยื่อสาวจนเสียชีวิตคาเตียง ก่อนจะลากศพไปจัดการชำแหละเป็นชิ้น ๆ ในห้องน้ำ
หลังก่อเหตุ อัลเฟรด ยู พยายามกำจัดศพด้วยการนำร่างของเหยื่อใส่ถุงดำ นำขึ้นรถไปทิ้งลงทะเลสาบดังกล่าว ก่อนจะกลับมาจัดการกับชิ้นส่วนที่เหลือ โดยเขาหั่นเครื่องในศพเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอให้แช่แข็งได้ แล้วนำชิ้นส่วนอื่น ๆ มาเคี่ยวทำเป็นกูลาซ หรือสตูว์เนื้อชนิดหนึ่ง นำไปแช่แข็งไว้ เผื่อจะได้ลิ้มรสดูในวันหลัง
ทั้งนี้ หลังถูกจับกุม อัลเฟรด ยู ได้ให้การรับสารภาพแต่โดยดี ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเนื่องจากการทะเลาะกัน และมีปัญหาเรื่องเงินกับการบริการของเหยื่อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังสืบพบว่า อัลเฟรด ยู มีประวัติก่อเหตุใช้ความรุนแรงทางเพศมาแล้วหลายครั้ง จนต้องใช้เวลาอยู่ในคุกมาเกินครึ่งชีวิต
จนเมื่อถึงเวลาพิพากษาโทษ อัลเฟรด ยู ก็ได้ร้องขอศาลว่า "ผมรู้ ผมทำพลาดไป แต่ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในคุกอีกแล้ว" อย่างไรก็ตาม ศาลก็ได้มีคำพิพากษาให้เขารับโทษจำคุกตลอดชีวิต
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 8 พฤษภาคม 2562 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ศาลในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพิ่งมีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต อัลเฟรด ยู วัย 64 ปี ฆาตกรผู้ก่อเหตุฆ่าชำแหละศพโสเภณีชาวฮังการี ก่อนโยนทิ้งลงน้ำกำจัดหลักฐาน เป็นเวลา 13 เดือน นับตั้งแต่มีการพบศพเหยื่อเมื่อปีที่ผ่านมา
รายงานเผยว่า ย้อนกลับไปในช่วงกลางเดือนเมษายน 2561 เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาสอบสวนคดีพบศพไร้หัวของหญิงรายหนึ่ง ที่ลอยอืดอยู่ในทะเลสาบนอยซีดเลอร์ซี ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนฝั่งประเทศฮังการี เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกู้ศพขึ้นมาตรวจสอบ จึงพบตัวอย่างดีเอ็นเอที่นำไปสู่การจับกุมตัวคนร้าย คือ อัลเฟรด ยู ที่อาศัยอยู่ในกรุงเวียนนา
ความจริงปรากฏว่า ก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ อัลเฟรด ยู ได้เจอกับเหยื่อวัย 28 ปี ซึ่งเป็นหญิงขายบริการ ที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เขาตกลงซื้อบริการจากเธอด้วยเงิน 50 ยูโร โดยจ่ายสดไปก่อน แล้วจึงพาเธอกลับมายังบ้านเพื่อประกอบกิจบนเตียง ซึ่งเขาได้ขอให้เธออ่อนโยนกับเขา และเอาใจใส่เขาให้มาก ๆ แต่ฝ่ายเหยื่อกลับไม่ยอมทำตาม
ในจังหวะที่เขากำลังใช้ความอดทน ปรากฏว่าเหยื่อได้ส่งเสียงหัวเราะออกมา มันทำให้เขาไม่พอใจมาก เขาเริ่มใช้ความรุนแรงกับเธอ จนเธอส่งเสียงกรีดร้อง เขาจึงเอื้อมมือไปบีบคอเหยื่อสาวจนเสียชีวิตคาเตียง ก่อนจะลากศพไปจัดการชำแหละเป็นชิ้น ๆ ในห้องน้ำ
หลังก่อเหตุ อัลเฟรด ยู พยายามกำจัดศพด้วยการนำร่างของเหยื่อใส่ถุงดำ นำขึ้นรถไปทิ้งลงทะเลสาบดังกล่าว ก่อนจะกลับมาจัดการกับชิ้นส่วนที่เหลือ โดยเขาหั่นเครื่องในศพเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอให้แช่แข็งได้ แล้วนำชิ้นส่วนอื่น ๆ มาเคี่ยวทำเป็นกูลาซ หรือสตูว์เนื้อชนิดหนึ่ง นำไปแช่แข็งไว้ เผื่อจะได้ลิ้มรสดูในวันหลัง
ทั้งนี้ หลังถูกจับกุม อัลเฟรด ยู ได้ให้การรับสารภาพแต่โดยดี ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเนื่องจากการทะเลาะกัน และมีปัญหาเรื่องเงินกับการบริการของเหยื่อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังสืบพบว่า อัลเฟรด ยู มีประวัติก่อเหตุใช้ความรุนแรงทางเพศมาแล้วหลายครั้ง จนต้องใช้เวลาอยู่ในคุกมาเกินครึ่งชีวิต
จนเมื่อถึงเวลาพิพากษาโทษ อัลเฟรด ยู ก็ได้ร้องขอศาลว่า "ผมรู้ ผมทำพลาดไป แต่ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในคุกอีกแล้ว" อย่างไรก็ตาม ศาลก็ได้มีคำพิพากษาให้เขารับโทษจำคุกตลอดชีวิต
ทางด้านทนายของเขาเตรียมยื่นอุทรณ์หลังจากนี้ โดยชี้ว่า หากตัดความจริงเรื่องที่เขานำศพมาปรุงเป็นอาหารเพื่อเก็บไว้กิน มันก็เป็นเพียงคดีฆาตกรรมโดยไม่เจตนาอีกคดีหนึ่งเท่านั้น ทำให้เธอรู้สึกว่าโทษครั้งนี้มีระยะเวลานานเกินไป ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของทางทนายว่าจะสามารถเดินเรื่องอุทรณ์ได้สำเร็จหรือไม่