เปิดใจแม่วัย 23 ต้องเสียลูกแฝดทั้งที่เด็กร่างกายสมบูรณ์ เหตุหมอวินิจฉัยพลาด พยาบาลชี้ เด็กตัวเล็กเท่านิ้วโป้ง สั่งให้เบ่งทิ้งลงชักโครกไป แต่พอคลอดมากลับพบน้ำหนัก 500 กรัม
จากกรณีสาวผู้ใช้เฟซบุ๊ก Walaiporn Thobuhyong โพสต์เรื่องราวสุดสะเทือนใจ เจอหมอวินิจฉัยพลาด ทำให้เสียลูกแฝด อายุครรภ์ 5 เดือน หลังจากเจ้าตัวน้ำคร่ำแตก เมื่อไปหาหมอ หมอบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว 1 คน ทั้งที่เจ้าตัวยังรู้สึกว่าลูกยังดิ้นอยู่ แต่หมอคะยั้นคะยอให้ขับออก เพราะไม่เช่นนั้นตัวแม่เองจะติดเชื้อและเสียชีวิตไปด้วย ซ้ำเจอพยาบาลบอกว่าให้เบ่งลูกลงชักโครก เพราะเด็กตัวเล็ก ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล ผลปรากฏว่าหมออีกแห่งแจ้งว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ แต่ด้วยความที่น้ำคร่ำแห้งแล้ว เพราะมาช้าไป ทำให้เด็กไม่สามารถโตได้แล้ว จึงต้องเอาเด็กออกจริง ๆ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (26 พฤษภาคม 2562) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานบทสัมภาษณ์ นางสาววลัยพร หรือ มาย อายุ 23 ปี เจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนปวดท้องหน่วง คือวันที่ 19 พฤษภาคม จึงได้ไปหาหมอ และได้รับการฉีดยากันแท้งให้ 1 เข็ม แล้วกลับบ้าน แต่เมื่อกลับมาบ้านน้ำคร่ำกลับแตกขณะอาบน้ำ จึงรีบไปโรงพยาบาล ตอนแรกพยาบาลแจ้งว่าเด็กยังอยู่ทั้งคู่ แต่หลังจากหมอมาตรวจปากมดลูก กลับบอกว่ายังไงก็แท้ง ให้นอนรอ ตนนอนรอจนเช้าก็ยังไม่คลอด ก่อนที่หมอจะมาบอกว่าเด็กเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ต้องเอาออกทั้งคู่ เพราะไม่อย่างนั้นแม่จะติดเชื้อแล้วเสียชีวิตด้วย ตอนนั้นตนได้ถามไปว่าเด็กเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง หมอกลับตอบกลับว่า จะรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ได้เลี้ยง ทำให้ตนเสียใจมาก ถึงกับร้องไห้
โดยตนขอปรึกษาญาติก่อนว่าจะเอาออกไหม เพราะยังรู้สึกว่าลูกยังดิ้นอยู่ในท้อง โดยสามีปลอบใจและบอกให้เอาออกเพราะกลัวตนจะเป็นอะไรไปด้วย ตอนนั้นตนเจ็บท้อง พยาบาลก็เดินมาให้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมบอกว่าถ้าปวดก็ให้เข้าห้องน้ำแล้วเบ่งลงชักโครกไปเลย เพราะเด็กตัวนิดเดียว มีคนทำแบบนี้บ่อย
นางสาววลัยพร กล่าวต่อว่า วันที่ 20 ตนตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อมาถึงศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หมอแจ้งว่า ลูกแฝดในท้องยังอยู่ แต่น้ำคร่ำแห้งหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเอาออก เพราะเด็กไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แต่หมอก็ให้ตนทำใจก่อน เมื่อตัดสินใจจึงฉีดยาเร่งคลอด ผลปรากฏว่าเด็กตัวใหญ่เป็นเพศชายทั้งคู่ น้ำหนักคนละ 500 กรัม ร่างกายสมบูรณ์
ทั้งนี้ สาเหตุที่โพสต์เรื่องราวออกไป เพื่อต้องการให้เป็นอุทาหรณ์เท่านั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
จากกรณีสาวผู้ใช้เฟซบุ๊ก Walaiporn Thobuhyong โพสต์เรื่องราวสุดสะเทือนใจ เจอหมอวินิจฉัยพลาด ทำให้เสียลูกแฝด อายุครรภ์ 5 เดือน หลังจากเจ้าตัวน้ำคร่ำแตก เมื่อไปหาหมอ หมอบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว 1 คน ทั้งที่เจ้าตัวยังรู้สึกว่าลูกยังดิ้นอยู่ แต่หมอคะยั้นคะยอให้ขับออก เพราะไม่เช่นนั้นตัวแม่เองจะติดเชื้อและเสียชีวิตไปด้วย ซ้ำเจอพยาบาลบอกว่าให้เบ่งลูกลงชักโครก เพราะเด็กตัวเล็ก ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล ผลปรากฏว่าหมออีกแห่งแจ้งว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ทั้งคู่ แต่ด้วยความที่น้ำคร่ำแห้งแล้ว เพราะมาช้าไป ทำให้เด็กไม่สามารถโตได้แล้ว จึงต้องเอาเด็กออกจริง ๆ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (26 พฤษภาคม 2562) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานบทสัมภาษณ์ นางสาววลัยพร หรือ มาย อายุ 23 ปี เจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนปวดท้องหน่วง คือวันที่ 19 พฤษภาคม จึงได้ไปหาหมอ และได้รับการฉีดยากันแท้งให้ 1 เข็ม แล้วกลับบ้าน แต่เมื่อกลับมาบ้านน้ำคร่ำกลับแตกขณะอาบน้ำ จึงรีบไปโรงพยาบาล ตอนแรกพยาบาลแจ้งว่าเด็กยังอยู่ทั้งคู่ แต่หลังจากหมอมาตรวจปากมดลูก กลับบอกว่ายังไงก็แท้ง ให้นอนรอ ตนนอนรอจนเช้าก็ยังไม่คลอด ก่อนที่หมอจะมาบอกว่าเด็กเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ต้องเอาออกทั้งคู่ เพราะไม่อย่างนั้นแม่จะติดเชื้อแล้วเสียชีวิตด้วย ตอนนั้นตนได้ถามไปว่าเด็กเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง หมอกลับตอบกลับว่า จะรู้ไปทำไม รู้ไปก็ไม่ได้เลี้ยง ทำให้ตนเสียใจมาก ถึงกับร้องไห้
โดยตนขอปรึกษาญาติก่อนว่าจะเอาออกไหม เพราะยังรู้สึกว่าลูกยังดิ้นอยู่ในท้อง โดยสามีปลอบใจและบอกให้เอาออกเพราะกลัวตนจะเป็นอะไรไปด้วย ตอนนั้นตนเจ็บท้อง พยาบาลก็เดินมาให้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมบอกว่าถ้าปวดก็ให้เข้าห้องน้ำแล้วเบ่งลงชักโครกไปเลย เพราะเด็กตัวนิดเดียว มีคนทำแบบนี้บ่อย
นางสาววลัยพร กล่าวต่อว่า วันที่ 20 ตนตัดสินใจย้ายโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อมาถึงศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หมอแจ้งว่า ลูกแฝดในท้องยังอยู่ แต่น้ำคร่ำแห้งหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเอาออก เพราะเด็กไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แต่หมอก็ให้ตนทำใจก่อน เมื่อตัดสินใจจึงฉีดยาเร่งคลอด ผลปรากฏว่าเด็กตัวใหญ่เป็นเพศชายทั้งคู่ น้ำหนักคนละ 500 กรัม ร่างกายสมบูรณ์
ทั้งนี้ สาเหตุที่โพสต์เรื่องราวออกไป เพื่อต้องการให้เป็นอุทาหรณ์เท่านั้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
