รองอธิบดี กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นำทีมตรวจสอบคลินิกเสริมความงาม ย่านจตุจักร หลังสาววัย 21 ปี เหลาคางแล้วช็อกสลบคาห้องผ่าตัด เบื้องต้นพบมีใบอนุญาตถูกต้อง แต่ขาดชำระค่าธรรมเนียมรายปี และแพทย์ไม่ได้ยื่นแสดงความจำนงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (ส.พ.6)
วันที่ 31 พฤษภาคม 2562 Workpoint News รายงานว่า ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข พร้อมพนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และกองกฎหมาย กรม สบส. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในย่านจตุจักร หลังมีการแจ้งเหตุสาววัย 21 ปี เข้ามาใช้บริการเหลาคางแล้วเกิดช็อกสลบคาห้องผ่าตัด
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ มุ่งตรวจสอบในประเด็นสำคัญตามที่กฎหมายสถานพยาบาลกำหนด 3 ประเด็น ประกอบด้วย
1. คลินิกดังกล่าว มีการขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
2. ผู้ให้บริการเป็นแพทย์ที่ขึ้นทะเบียน และมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้องจากสภาวิชาชีพหรือไม่
3. มาตรฐานด้านสถานที่ การบริการ ยาและเวชภัณฑ์ และความปลอดภัยของสถานพยาบาล ว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ทั้งนี้ เบื้องต้นพบว่า มีการขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง และมีการดำเนินการตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ยังพบการกระทำผิดมาตรฐานบ้าง ในเรื่องของการขาดการชำระค่าธรรมเนียมรายปี เปิดให้บริการสถานพยาบาลเกินระยะเวลาที่ขออนุญาต และแพทย์ผู้ให้บริการไม่ได้ยื่นแบบแสดงความจำนงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (ส.พ.6) กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งจะมีการเรียกตัวผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลมาทำการเปรียบเทียบปรับ พร้อมสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ว่าแพทย์ผู้ให้บริการในช่วงที่เกิดเหตุนั้นเป็นแพทย์จริงหรือไม่
หากพบว่าคลินิก ใช้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่แพทย์มาให้บริการ
ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525
ฐานเป็นหมอเถื่อนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนผู้ดำเนินการ จะมีความผิดฐานปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม กรม สบส. ขอเน้นย้ำให้ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการ โรงพยาบาลและคลินิกทุกแห่งกวดขันมาตรฐานสถานพยาบาลของตน โดยเฉพาะผู้ให้บริการ ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและใบอนุญาตจากแพทยสภาเท่านั้น
อีกทั้งก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานในสถานพยาบาล จะต้องมีการยื่นแบบแสดงความจำนงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (ส.พ.6) กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเหมาะสมกับประเภทของสถานพยาบาล รวมถึงเวลาปฏิบัติงานต้องไม่ซ้ำซ้อนกับสถานพยาบาลแห่งอื่น เพื่อการันตีความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ มุ่งตรวจสอบในประเด็นสำคัญตามที่กฎหมายสถานพยาบาลกำหนด 3 ประเด็น ประกอบด้วย
1. คลินิกดังกล่าว มีการขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
2. ผู้ให้บริการเป็นแพทย์ที่ขึ้นทะเบียน และมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้องจากสภาวิชาชีพหรือไม่
3. มาตรฐานด้านสถานที่ การบริการ ยาและเวชภัณฑ์ และความปลอดภัยของสถานพยาบาล ว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ทั้งนี้ เบื้องต้นพบว่า มีการขออนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง และมีการดำเนินการตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ยังพบการกระทำผิดมาตรฐานบ้าง ในเรื่องของการขาดการชำระค่าธรรมเนียมรายปี เปิดให้บริการสถานพยาบาลเกินระยะเวลาที่ขออนุญาต และแพทย์ผู้ให้บริการไม่ได้ยื่นแบบแสดงความจำนงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (ส.พ.6) กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งจะมีการเรียกตัวผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลมาทำการเปรียบเทียบปรับ พร้อมสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป ว่าแพทย์ผู้ให้บริการในช่วงที่เกิดเหตุนั้นเป็นแพทย์จริงหรือไม่
ส่วนผู้ดำเนินการ จะมีความผิดฐานปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม กรม สบส. ขอเน้นย้ำให้ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการ โรงพยาบาลและคลินิกทุกแห่งกวดขันมาตรฐานสถานพยาบาลของตน โดยเฉพาะผู้ให้บริการ ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและใบอนุญาตจากแพทยสภาเท่านั้น
อีกทั้งก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติงานในสถานพยาบาล จะต้องมีการยื่นแบบแสดงความจำนงเป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานพยาบาล (ส.พ.6) กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเหมาะสมกับประเภทของสถานพยาบาล รวมถึงเวลาปฏิบัติงานต้องไม่ซ้ำซ้อนกับสถานพยาบาลแห่งอื่น เพื่อการันตีความปลอดภัยแก่ผู้รับบริการอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก