เปิดเรื่องราวชีวิตคู่ สามีกับภรรยาที่หย่าจากกัน ก่อนแต่งงานใหม่อีกครั้ง ในฐานะคู่รักหญิงกับหญิง เมื่อฝ่ายสามีตัดสินใจเปิดตัว ก้าวสู่ตัวตนที่แท้จริง
ซูซี่ ฮวอกกอร์ส หรือชื่อเดิมคือ เอียน ฮวอกเกอร์ส ยอมรับว่าเขารู้สึกถึงตัวตนจริง ๆ และคิดว่าตัวเองน่าจะเกิดมาเป็นผู้หญิงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แต่ด้วยสภาพสังคมและสิ่งต่าง ๆ ทำให้เขาเลือกจะเก็บซ่อนมันไว้ ดิ้นรนต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองมาเนิ่นนาน โดยไม่บอกให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน หรือแม้กระทั่งภรรยาคนแรก
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ
20 ปีก่อน เอียนก็ได้พบกับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ชื่อ เชอริล
ผ่านโปรแกรมแชตบนโลกออนไลน์ พวกเขาเข้ากันได้ดีมาก พูดคุยกันถูกคอ
เขาเปิดใจให้กับเธอ และพัฒนาความสัมพันธ์จนความรักเริ่มเบ่งบาน
เขารักในความอ่อนโยนของเธอ ส่วนเธอก็รักในความซื่อตรงและอารมณ์ขันของเขา
เอียดกับเชอริลเป็นคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างราบรื่น
ต่อมาเชอริลยังคลอดลูกชายให้เขา 1 คน
แต่ในขณะที่ชีวิตฉากหน้าเป็นไปด้วยความสุข
เอียนยังคงทุกข์ทรมานกับความปรารถนาที่อยากจะกลายเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง
เขาเริ่มแต่งตัวให้ดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น สวมกางเกงรัด ๆ
และทำการเก็บอวัยวะเพศด้วยการดึงรั้งมาด้านหลัง
เพื่อทำให้เบื้องหน้าดูราบเรียบ
ตอนนั้นเอียนทำงานเป็นช่างทำผม ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าใกล้เครื่องสำอางต่าง ๆ ตามโต๊ะแต่งหน้า แต่นั่นก็ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกของเขาได้ เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์ภายนอกนั้นช่างขัดแย้งกับตัวตนจริง ๆ ของเขา
การใช้ชีวิตเช่นนั้นทำให้เอียนจมอยู่กับความทุกข์ ดวงตาของเขามันจะฉายแววทุกข์ทนเสมอ เชอริลเองก็สังเกตเห็น ภายหลังจากที่สามีหยิบยกเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศมาพูด แต่เธอก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะเธอกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบต่อลูก
"พวกเขาจะคิดอย่างไร เพื่อน ๆ ของลูกจะคิดอย่างไร" เชอริล เผยถึงความกังวลในตอนนั้น
นอกจากความทุกข์ใจ การที่เขาพยายามดึงรั้งอวัยวะเพศของตัวเองตลอดเวลา ก็เริ่มส่งผลเสียต่อชีวิตเซ็กส์ของทั้งคู่ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องเจ็บปวดทรมานมาก กับการทำให้อวัยวะเพศที่อยู่ในสภาพนั้นถูกกระตุ้นจนตื่นตัว
จนในที่สุดเมื่อปี 2557 เอียนก็มีภาวะโรคอวัยวะเพศชายโค้งงอ (peyronie's disease) และแพทย์เสนอทางเลือกผ่าตัดองคชาตให้เขา เอียนจึงตัดสินใจหยิบเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศมาพูดกับเชอริลอีกครั้ง เขาคิดว่าแทนที่จะซ่อมแซมสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่รู้สึกว่าเป็นตัวเอง สู้ให้เขาได้ผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนชีวิตเป็นผู้หญิงดังที่เขาต้องการดีกว่า
มาถึงจุดนี้ ในที่สุดเชอริลก็ยอมรับ ทำให้เอียนสามารถเข้ารับการแปลงเพศ เปลี่ยนจาก เอียน มาเป็น ซูซี่ ได้ในที่สุด
ซูซี่กับเชอริลยังได้เติมเต็มความทรงจำด้วยกันใหม่
ด้วยการไปฮันนีมูนกันอีกรอบ และเป็นที่น่ายินดีสำหรับซูซี่ ที่ลูกชายวัย
17 ปี ยอมรับให้ตัวพ่อคนนี้ เพราะแม้ภายนอกจะเปลี่ยนไป
แต่ซูซี่ยังคงเป็นครอบครัวที่แสนดีของเขาเสมอ
ซูซี่ยอมรับว่า การเปลี่ยนตัวเองในวัย 50 ปี ค่อนข้างเป็นเรื่องลำบากตอนที่กลับไปทำงานอีกครั้ง ความรู้สึกอันหลากหลายของเพื่อนร่วมงานนั้นสื่อออกมาให้เห็นชัดเจน แต่เธอก็เลือกจะมองข้ามมันไป เพราะในตอนนี้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว นอกจากนี้เธอกับเชอริลก็ยังรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น แถมมีเซ็กส์ที่ดีขึ้นอีกต่างหาก
ทั้งนี้ ซูซี่ยังเผยว่า แม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงานหญิงกับหญิง แต่เชอริลนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นเลสเบี้ยนแต่อย่างไร หากตอนนี้เชอริลยังโสด ก็คงไม่ออกเดตกับผู้หญิงด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เธอยังอยู่กับตัวเอง ก็เพราะความรักที่เธอมีให้ต่อซูซี่
"เธอบอกฉันเสมอ ว่าเธอแต่งงานกับฉันที่เป็นตัวบุคคล ไม่ใช่สภาพร่างกาย" ซูซี่ เผย และย้ำว่าตัวเองรักคู่ชีวิตคนนี้แค่ไหน
ภาพจาก SueZie Hawkes
วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เว็บไซต์มิเรอร์ มีรายงานถึงเรื่องราวชีวิตคู่ของ เชอริล พัลเมอร์ วัย 58 ปี กับ ซูซี่
ฮวอกเกอร์ส วัย 55 ปี คู่แต่งงานชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นอีกบทพิสูจน์ของความรักที่อยู่เหนือเรื่องเพศ เมื่อซูซี่นั้นแท้จริงแล้วเป็นหญิงข้ามเพศ
ที่ผ่านการแต่งงานและมีลูกกับเชอริล มาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ารับการแปลงเพศ
ซูซี่ ฮวอกกอร์ส หรือชื่อเดิมคือ เอียน ฮวอกเกอร์ส ยอมรับว่าเขารู้สึกถึงตัวตนจริง ๆ และคิดว่าตัวเองน่าจะเกิดมาเป็นผู้หญิงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แต่ด้วยสภาพสังคมและสิ่งต่าง ๆ ทำให้เขาเลือกจะเก็บซ่อนมันไว้ ดิ้นรนต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองมาเนิ่นนาน โดยไม่บอกให้ใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อน หรือแม้กระทั่งภรรยาคนแรก
ยิ่งไปกว่านั้น
เอียนไม่เคยปิดบังเชอริล เรื่องที่เขามีความขัดแย้งทางเพศในตัวเอง
แต่เธอก็รับมันได้ ในที่สุดเอียนก็ตัดสินใจลาจากเมืองที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก
บินลัดฟ้าไปใช้ชีวิตอยู่กับเชอริลในรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ
จนได้แต่งงานกันในเดือนตุลาคม 2543
ภาพจาก SueZie Hawkes
ตอนนั้นเอียนทำงานเป็นช่างทำผม ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าใกล้เครื่องสำอางต่าง ๆ ตามโต๊ะแต่งหน้า แต่นั่นก็ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกของเขาได้ เขารู้สึกว่ารูปลักษณ์ภายนอกนั้นช่างขัดแย้งกับตัวตนจริง ๆ ของเขา
การใช้ชีวิตเช่นนั้นทำให้เอียนจมอยู่กับความทุกข์ ดวงตาของเขามันจะฉายแววทุกข์ทนเสมอ เชอริลเองก็สังเกตเห็น ภายหลังจากที่สามีหยิบยกเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศมาพูด แต่เธอก็ยังไม่เห็นด้วย เพราะเธอกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบต่อลูก
"พวกเขาจะคิดอย่างไร เพื่อน ๆ ของลูกจะคิดอย่างไร" เชอริล เผยถึงความกังวลในตอนนั้น
นอกจากความทุกข์ใจ การที่เขาพยายามดึงรั้งอวัยวะเพศของตัวเองตลอดเวลา ก็เริ่มส่งผลเสียต่อชีวิตเซ็กส์ของทั้งคู่ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องเจ็บปวดทรมานมาก กับการทำให้อวัยวะเพศที่อยู่ในสภาพนั้นถูกกระตุ้นจนตื่นตัว
จนในที่สุดเมื่อปี 2557 เอียนก็มีภาวะโรคอวัยวะเพศชายโค้งงอ (peyronie's disease) และแพทย์เสนอทางเลือกผ่าตัดองคชาตให้เขา เอียนจึงตัดสินใจหยิบเรื่องการผ่าตัดแปลงเพศมาพูดกับเชอริลอีกครั้ง เขาคิดว่าแทนที่จะซ่อมแซมสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่รู้สึกว่าเป็นตัวเอง สู้ให้เขาได้ผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนชีวิตเป็นผู้หญิงดังที่เขาต้องการดีกว่า
มาถึงจุดนี้ ในที่สุดเชอริลก็ยอมรับ ทำให้เอียนสามารถเข้ารับการแปลงเพศ เปลี่ยนจาก เอียน มาเป็น ซูซี่ ได้ในที่สุด
และเพื่อจะลบเลือนความทรงจำอันเจ็บปวด
ขณะที่เขาดิ้นรนซ่อนซูซี่อยู่ใต้เปลือกความเป็นเอียน
ซูซี่ตัดสินใจจะนำสิ่งใด ๆ ก็ตามที่ย้ำเตือนถึงความเป็นชายที่ผ่านมาออกไป
รวมถึงรูปแต่งงาน และตัดสินใจหย่ากับเชอริล
เพื่อที่ตัวเองจะได้แต่งงานกับเธออีกครั้ง ในฐานะคู่แต่งงานหญิงกับหญิง
ภาพจาก SueZie Hawkes
ซูซี่ยอมรับว่า การเปลี่ยนตัวเองในวัย 50 ปี ค่อนข้างเป็นเรื่องลำบากตอนที่กลับไปทำงานอีกครั้ง ความรู้สึกอันหลากหลายของเพื่อนร่วมงานนั้นสื่อออกมาให้เห็นชัดเจน แต่เธอก็เลือกจะมองข้ามมันไป เพราะในตอนนี้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว นอกจากนี้เธอกับเชอริลก็ยังรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น แถมมีเซ็กส์ที่ดีขึ้นอีกต่างหาก
ทั้งนี้ ซูซี่ยังเผยว่า แม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงานหญิงกับหญิง แต่เชอริลนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นเลสเบี้ยนแต่อย่างไร หากตอนนี้เชอริลยังโสด ก็คงไม่ออกเดตกับผู้หญิงด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เธอยังอยู่กับตัวเอง ก็เพราะความรักที่เธอมีให้ต่อซูซี่
"เธอบอกฉันเสมอ ว่าเธอแต่งงานกับฉันที่เป็นตัวบุคคล ไม่ใช่สภาพร่างกาย" ซูซี่ เผย และย้ำว่าตัวเองรักคู่ชีวิตคนนี้แค่ไหน
ขณะที่เชอริลก็ได้เผยว่า
"สิ่งที่ฉันชอบในตัวซูซี่ คือเสียงหัวเราะและความสว่างไสวบนใบหน้าของเธอ
ตอนนี้ดวงตาของเธอกำลังแย้มยิ้ม แต่ก่อนหน้านี้มันคือความเจ็บปวด
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเรา"