ศวทม. ชี้ การเกยตื้นของลูกพะยูนไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ เผย 3 ปัจจัยสำคัญที่ลูกพะยูนมีโอกาสรอด ในวันที่ไม่มีแม่ ที่มาพร้อมความท้าทายของนักอนุรักษ์
จากกรณีข่าวการพบ พะยูนมาเรียม ลูกพะยูนเพศเมีย อายุประมาณ 7 เดือน ที่ออกมาเกยตื้นหน้าหาด ที่ จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ก็พบลูกพะยูนอีกตัว เกยตื้นบริเวณชายหาดบ่อม่วง ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เป็นพะยูนเพศผู้ ความยาว 111 เซนติเมตร อายุประมาณ 3 เดือน สภาพอ่อนแรง ตามตัวมีบาดแผลจำนวนมาก โดยทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ศวทม.) ได้ดูแลจนอาการแข็งแรงขึ้นแล้วนั้น
อ่านข่าว : ชาวบ้านกระบี่ พบลูกพะยูนเพิ่มอีก 1 ตัว อายุ 3 เดือน พะยูนสภาพอิดโรย และบาดเจ็บ
ทั้งนี้ โอกาสรอดของพะยูนทั้ง 2 ตัว ก็ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
1. ความพร้อมทางด้านร่างกายของลูกพะยูน
2. ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
3. ภัยคุกคามที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ในบริเวณนั้น
สำหรับข้อกังวลหลังจากที่ปล่อยลูกพะยูนไปตามธรรมชาตินั้น
เจ้าหน้าที่ต้องมีการวางมาตรการเพื่อให้บริเวณที่พะยูนชุกชุมมีความปลอดภัย
และควบคุมในเรื่องของกิจกรรมทางทะเลร่วมด้วย
นอกจากนี้ การทำงานอนุรักษ์เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ความท้าทายหนึ่งที่ทีมดูแลพะยูนมาเรียมต้องพบเจอนั่นก็คือ ความชุกชุมของสัตว์มีพิษทางทะเล เช่น แมงกะพรุน ปลากระเบน รวมไปถึงเรื่องของการเดินทางไป-มา และสภาพอากาศในช่วงมรสุม ซึ่งพบว่า 1 ใน 3 ของทีมเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ส่วนใหญ่มาจากการโดนพิษเป็นหลัก เช่น แมงกะพรุน ปลากระเบน แล้วก็หอยบาด
โดยแนวทางป้องกันก็จะใช้ชุดที่รัดกุมเป็นชุด wet suit
ที่จะช่วยคลุมผิวหนังขณะลงน้ำ ซึ่งจะช่วยป้องกันแมงกะพรุนมีพิษได้
และมีการใช้รองเท้าที่ป้องกันจากปลากระเบน
สำหรับการคาดการณ์เบื้องต้นของทีมที่ดูแลมาเรียม เพราะเมื่อมาเรียมเริ่มโตขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ก็จะเริ่มออกห่างไปอยู่ตามธรรมชาติของเขาเอง
จากกรณีข่าวการพบ พะยูนมาเรียม ลูกพะยูนเพศเมีย อายุประมาณ 7 เดือน ที่ออกมาเกยตื้นหน้าหาด ที่ จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ก็พบลูกพะยูนอีกตัว เกยตื้นบริเวณชายหาดบ่อม่วง ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เป็นพะยูนเพศผู้ ความยาว 111 เซนติเมตร อายุประมาณ 3 เดือน สภาพอ่อนแรง ตามตัวมีบาดแผลจำนวนมาก โดยทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ศวทม.) ได้ดูแลจนอาการแข็งแรงขึ้นแล้วนั้น
อ่านข่าว : ชาวบ้านกระบี่ พบลูกพะยูนเพิ่มอีก 1 ตัว อายุ 3 เดือน พะยูนสภาพอิดโรย และบาดเจ็บ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2562 เว็บไซต์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้เผยแพร่บทความของ นูรซาลบียะห์ เซ็ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องราวของลูกพะยูนทั้งสอง โดย ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ศวทม.) เผยถึงสาเหตุการเกยตื้นของลูกพะยูน ว่า กรณีของพะยูนมาเรียมและลูกพะยูนตัวใหม่
ไม่สามารถระบุได้ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด
เพราะโดยธรรมชาติลูกพะยูนจะอยู่กับแม่โดยไม่แยกจากกัน ประมาณ 15 เดือน ถึง 2
ปี เนื่องจากลูกพะยูนต้องการนม การปกป้อง และการเรียนรู้
แต่เมื่อโตขึ้นก็จะเริ่มแยกออกไปใช้ชีวิตตามลำพังได้
ซึ่งหากเจอลูกพะยูนตัวเดี่ยว ๆ ก็ต้องกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่พะยูน
อาจจะเสียชีวิตหรือเหตุปัจจัยอื่น ๆ ก็เป็นได้
ทั้งนี้ โอกาสรอดของพะยูนทั้ง 2 ตัว ก็ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
1. ความพร้อมทางด้านร่างกายของลูกพะยูน
2. ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
3. ภัยคุกคามที่เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ในบริเวณนั้น
นอกจากนี้ การทำงานอนุรักษ์เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ความท้าทายหนึ่งที่ทีมดูแลพะยูนมาเรียมต้องพบเจอนั่นก็คือ ความชุกชุมของสัตว์มีพิษทางทะเล เช่น แมงกะพรุน ปลากระเบน รวมไปถึงเรื่องของการเดินทางไป-มา และสภาพอากาศในช่วงมรสุม ซึ่งพบว่า 1 ใน 3 ของทีมเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ส่วนใหญ่มาจากการโดนพิษเป็นหลัก เช่น แมงกะพรุน ปลากระเบน แล้วก็หอยบาด
สำหรับการคาดการณ์เบื้องต้นของทีมที่ดูแลมาเรียม เพราะเมื่อมาเรียมเริ่มโตขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ก็จะเริ่มออกห่างไปอยู่ตามธรรมชาติของเขาเอง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เว็บไซต์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร










