นักวิจัยสเปนและอเมริกัน สร้างตัวอ่อน คนกับลิง ที่ห้องทดลองในจีน เผยเป็นก้าวสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์ แต่ก็ถูกตั้งคำถาม จริยธรรมอยู่ที่ไหน
![]()
สำหรับ คิเมร่า (Chimera) มาจากคำเรียกสัตว์ในเทพปกรณัมกรีก ซึ่งมีลักษณะการผสมกันระหว่าง สิงโต แกะ
และงู ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาเรียกสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้น
ด้วยการพยายามจะผสมสัตว์สายพันธุ์ที่ต่างกัน มาอยู่รวมกัน
แม้แต่การเพาะเลี้ยงอวัยวะร่างกายบนสัตว์ชนิดอื่น
ก็ยังถูกเรียกด้วยชื่อนี้เช่นกัน โดยนักวิทยาศาสตร์เล็งเห็นว่าการสร้าง
คิเมร่า คือการแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วยของมนุษย์
ในกรณีที่ต้องการอวัยวะใหม่มาปลูกถ่าย
ซึ่งปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนผู้บริจาค
รวมไปถึงความเสี่ยงที่ร่างกายจะไม่ตอบสนองต่ออวัยวะนั้น
สิ่งนี้นำไปสู่ความคิดในการสร้างอวัยวะมนุษย์ขึ้นในสัตว์ชนิดอื่น โดยได้แนวคิดจากการนำเซลล์ของมนุษย์วัยผู้ใหญ่ มาผ่านกระบวนการให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ ซึ่งสามารถเข้ากันได้กับทุกเซลล์ในร่างกายมุนษย์ ในกรณีคิเมร่าก็เช่นเดียวกัน แต่เป็นการนำสเต็มเซลล์มนุษย์ใส่เข้าไปในตัวอ่อนของสัตว์
เอสเตรญา นูเนซ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคาทอลิกมูร์เซีย รองหัวหน้าทีมนักวิจัยของโปรเจกต์นี้ เปิดเผยว่า การทดลองดังกล่าวเกิดขึ้นที่ห้องแล็บในประเทศจีน เนื่องมาจากประเทศสเปนกีดกันอย่างเข้มงวดและไม่อนุญาตให้ทำการทดลองในลักษณะข้ามสายพันธุ์ นอกจากในกรณีที่จำเป็นอย่างที่สุด เช่น การวิจัยเพื่อหาทางรักษาโรคร้าย ขณะที่การทดลองในจีนนั้นเกิดขึ้นได้จากช่องทางของกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ในปี 2560 ศาสตราจารย์ฮวน เคยทดลองตัดต่อยีนข้ามสายพันธุ์ระหว่างคนกับหมู แต่ไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากเซลล์ของมนุษย์ยากจะเข้าได้กับเซลล์ของหมู โดยในจำนวนเซลล์จากหมู 100,000 เซลล์ เซลล์ของมนุษย์สามารถเข้ากันได้เพียง 1 เซลล์ หรือมากกว่านี้เล็กน้อย
แต่ในขณะเดียวกัน การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกันอย่างวงศ์สัตว์ฟันแทะ (Rodent) คือ หนูบ้าน หรือหนูนา (Rat) กับหนูขนาดเล็ก (Mouse) สามารถไปด้วยกันได้ดี เซลล์อยู่รอดได้มากกว่าเคสเซลล์คนในหมู 5 เท่า
สำหรับการทดลองสร้างคิเมร่า ลิงกับคนในครั้งนี้
เริ่มต้นจากการนำตัวอ่อนลิงที่ปฏิสนธิแล้ว
มาตัดต่อพันธุกรรมเพื่อยับยั้งการทำงานของยีนสร้างอวัยวะ
จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้ฉีดสเต็มเซลล์ของมนุษย์เข้าไปในตัวอ่อนดังกล่าว
กระบวนการทดลองเป็นไปด้วยดีมาก ทางทีมวิจัยพร้อมที่จะเดินหน้าไปอีกขั้นในการทดลองตัดต่อเซลล์ของมนุษย์เข้ากับสัตว์ชนิดอื่น ๆ อาทิ หนู หมู ไปจนถึงสัตว์ชนิดอื่นในกลุ่มไพรเมต (Primate) หรือในกลุ่มวานร ที่ไม่ใช่มนุษย์
ทางด้าน ดร.อังเคล รายา ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์และเวชศาสตร์ฟื้นฟูบาร์เซโลนา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทดลองดังกล่าวว่า มันเกินขีดจำกัดทางด้านจริยธรรมไปแล้ว พร้อมตั้งคำถามว่า ถ้าหากสเต็มเซลล์ของมนุษย์หลุดเข้าไปในสมองของสัตว์ สัตว์ตัวนี้จะมีสติรับรู้เหมือนคนหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากสเต็มเซลล์เหล่านี้ได้กลายเป็นเซลล์สืบพันธุ์
เอสเตรญา นูเนซ ตอบว่า ทีมวิจัยได้สร้างกลไกเอาไว้รองรับเรื่องนี้แล้ว และถ้าหากสเต็มเซลล์ประสาทมนุษย์หลุดเข้าสู่สมองสัตว์ มันก็จะทำลายตัวเองไป
และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาด้านศีลธรรมและจริยธรรมเอาไว้แต่เนิ่น ๆ วงการนักวิทยาศาสตร์จึงยื่นข้อกำหนด คือ ขีดเส้นตายเวลาฟักตัวอ่อน 14 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนจะยังไม่สามารถพัฒนาระบบประสาทกลางของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้ และตัวอ่อนทุกตัวจะต้องถูกทำลาย ก่อนจะครบกำหนด 14 วัน
เอสเตรญา นูเนซ กล่าวอีกว่า ตัวอ่อนทุกตัวในการทดลองจะถูกนักวิทยาศาสตร์ยับยั้งไม่ให้เกิดการเจริญเติบโต ยืนยันว่าจะไม่มีการพัฒนาจนถือกำเนิดขึ้นมาเป็นลิงได้อย่างแน่นอน
"การทดลองแบบนี้ไม่ไช่งานทดลองราคาถูก และต้องใช้เงินทุนหลายแสนยูโร ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย" เธอทิ้งท้ายพร้อมย้ำอีกว่า จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการทดลองตัดต่อข้ามสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิง ก็คือการมองหาหนทางรักษาโรค ซึ่งก็เป็นก้าวสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์
"เป้าหมายหลักของเราคือการสร้างอวัยวะมนุษย์ที่สามารถนำไปใช้ปลูกถ่ายได้ เฉพาะแค่แนวคิดของมัน ก็เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจมาก อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าการสร้างอวัยวะมนุษย์ขึ้นมาบนร่างกายสัตว์ มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก แต่อย่างน้อยเราก็มาถึงจุดนั้นแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก"
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2562 เว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยน รายงานข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ เอล ปาอิส ของสเปน ระบุว่า ศาสตราจารย์ฮวน การ์ลอส อิสปิซูอา เบลมอนเต
นำทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาทอลิกมูร์เซีย ประเทศสเปน และสถาบันซอลค์
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินหน้าโปรเจกต์สร้าง คิเมร่า
ข้ามสายพันธุ์ระหว่าง มนุษย์ กับ ลิง โดยนำสเต็มเซลล์ของมนุษย์
ไปฉีดเข้ากับตัวอ่อนของลิง

สิ่งนี้นำไปสู่ความคิดในการสร้างอวัยวะมนุษย์ขึ้นในสัตว์ชนิดอื่น โดยได้แนวคิดจากการนำเซลล์ของมนุษย์วัยผู้ใหญ่ มาผ่านกระบวนการให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ ซึ่งสามารถเข้ากันได้กับทุกเซลล์ในร่างกายมุนษย์ ในกรณีคิเมร่าก็เช่นเดียวกัน แต่เป็นการนำสเต็มเซลล์มนุษย์ใส่เข้าไปในตัวอ่อนของสัตว์
เอสเตรญา นูเนซ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคาทอลิกมูร์เซีย รองหัวหน้าทีมนักวิจัยของโปรเจกต์นี้ เปิดเผยว่า การทดลองดังกล่าวเกิดขึ้นที่ห้องแล็บในประเทศจีน เนื่องมาจากประเทศสเปนกีดกันอย่างเข้มงวดและไม่อนุญาตให้ทำการทดลองในลักษณะข้ามสายพันธุ์ นอกจากในกรณีที่จำเป็นอย่างที่สุด เช่น การวิจัยเพื่อหาทางรักษาโรคร้าย ขณะที่การทดลองในจีนนั้นเกิดขึ้นได้จากช่องทางของกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ในปี 2560 ศาสตราจารย์ฮวน เคยทดลองตัดต่อยีนข้ามสายพันธุ์ระหว่างคนกับหมู แต่ไม่สำเร็จอย่างที่คาดหวัง เนื่องจากเซลล์ของมนุษย์ยากจะเข้าได้กับเซลล์ของหมู โดยในจำนวนเซลล์จากหมู 100,000 เซลล์ เซลล์ของมนุษย์สามารถเข้ากันได้เพียง 1 เซลล์ หรือมากกว่านี้เล็กน้อย
แต่ในขณะเดียวกัน การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกันอย่างวงศ์สัตว์ฟันแทะ (Rodent) คือ หนูบ้าน หรือหนูนา (Rat) กับหนูขนาดเล็ก (Mouse) สามารถไปด้วยกันได้ดี เซลล์อยู่รอดได้มากกว่าเคสเซลล์คนในหมู 5 เท่า
กระบวนการทดลองเป็นไปด้วยดีมาก ทางทีมวิจัยพร้อมที่จะเดินหน้าไปอีกขั้นในการทดลองตัดต่อเซลล์ของมนุษย์เข้ากับสัตว์ชนิดอื่น ๆ อาทิ หนู หมู ไปจนถึงสัตว์ชนิดอื่นในกลุ่มไพรเมต (Primate) หรือในกลุ่มวานร ที่ไม่ใช่มนุษย์
ทางด้าน ดร.อังเคล รายา ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์และเวชศาสตร์ฟื้นฟูบาร์เซโลนา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทดลองดังกล่าวว่า มันเกินขีดจำกัดทางด้านจริยธรรมไปแล้ว พร้อมตั้งคำถามว่า ถ้าหากสเต็มเซลล์ของมนุษย์หลุดเข้าไปในสมองของสัตว์ สัตว์ตัวนี้จะมีสติรับรู้เหมือนคนหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากสเต็มเซลล์เหล่านี้ได้กลายเป็นเซลล์สืบพันธุ์
เอสเตรญา นูเนซ ตอบว่า ทีมวิจัยได้สร้างกลไกเอาไว้รองรับเรื่องนี้แล้ว และถ้าหากสเต็มเซลล์ประสาทมนุษย์หลุดเข้าสู่สมองสัตว์ มันก็จะทำลายตัวเองไป
และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาด้านศีลธรรมและจริยธรรมเอาไว้แต่เนิ่น ๆ วงการนักวิทยาศาสตร์จึงยื่นข้อกำหนด คือ ขีดเส้นตายเวลาฟักตัวอ่อน 14 วัน ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนจะยังไม่สามารถพัฒนาระบบประสาทกลางของมนุษย์ให้เกิดขึ้นได้ และตัวอ่อนทุกตัวจะต้องถูกทำลาย ก่อนจะครบกำหนด 14 วัน
เอสเตรญา นูเนซ กล่าวอีกว่า ตัวอ่อนทุกตัวในการทดลองจะถูกนักวิทยาศาสตร์ยับยั้งไม่ให้เกิดการเจริญเติบโต ยืนยันว่าจะไม่มีการพัฒนาจนถือกำเนิดขึ้นมาเป็นลิงได้อย่างแน่นอน
"การทดลองแบบนี้ไม่ไช่งานทดลองราคาถูก และต้องใช้เงินทุนหลายแสนยูโร ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย" เธอทิ้งท้ายพร้อมย้ำอีกว่า จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการทดลองตัดต่อข้ามสายพันธุ์ระหว่างคนกับลิง ก็คือการมองหาหนทางรักษาโรค ซึ่งก็เป็นก้าวสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์
"เป้าหมายหลักของเราคือการสร้างอวัยวะมนุษย์ที่สามารถนำไปใช้ปลูกถ่ายได้ เฉพาะแค่แนวคิดของมัน ก็เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจมาก อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าการสร้างอวัยวะมนุษย์ขึ้นมาบนร่างกายสัตว์ มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก แต่อย่างน้อยเราก็มาถึงจุดนั้นแล้ว ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก"






