วินมอเตอร์ไซค์ แฉความหน้าเลือด โดนเรียกเก็บค่าเสื้อ 35,000 แถมมีจ่ายเพิ่ม

         วินมอเตอร์ไซค์เมืองนนท์ รวมตัวร้องตำรวจถูกหัวหน้าวินบังคับขายเสื้อวินรายละ 35,000 บาท แถมต้องจ่ายรายอาทิตย์อีก 400 บาท อ้างเก็บเงินส่งนาย สุดงง ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายตามคำสั่ง คสช. แต่ยังวิ่งไม่ได้หากไม่จ่ายเงิน

        เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า นายสายบิณฑ์ หมู่แสนกล อายุ 26 ปี และผู้ขับขี่รถ จักรยานยนต์สาธารณะ วินเอเวอรี่ มอลล์ ถนนรัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะอีกกว่า 10 คน เดินทางเข้าแจ้งความที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ ว่า มีหัวหน้าวินได้นำเอกสารจดยื่นป้ายเหลืองวินดังกล่าว มาอ้างว่าเสื้อวินมีเจ้าของแล้ว และหากต้องการจะขี่วินตรงนี้ ต้องจ่ายค่าเสื้อวินเป็นเงินจำนวน 35,000 บาท จึงจะขึ้นทะเบียนที่จังหวัด และนำรถมาขี่รับจ้างได้ ทำให้พวกตนที่เคยขี่อยู่ตรงวินนี้ไม่สามารถขี่รับจ้างได้ เงินทั้งหมดที่เขาเก็บบอกว่าจะไปให้เจ้านาย พวกตนหาเช้ากินค่ำอยากขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องแต่ต้องมาถูกบังคับให้ซื้อเสื้อ จะไปหาเงินที่ไหนมา

        ตัวแทนวิน ระบุว่า วันนี้พวกตนเดือดร้อน เนื่องจากก่อนหน้านี้ทาง คสช. ก็ได้ผลักดันและประกาศให้วินขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย และพวกตนก็ได้เดินเรื่องอบรมและสอบใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง แต่ทว่าหลังทำเสร็จเรียบร้อย หัวหน้าวินกลับไม่ยอมให้ตนไปขึ้นทะเบียน พร้อมระบุว่าต้องเสียเงินซื้อเสื้อวินราคา 35,000 บาท ตนไม่มีเงินจึงไม่ได้ขึ้น ใช้วิธีเช่าเสื้อวินขี่วันละ 350 บาท

        นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจุบันตนขี่วินเบอร์ 7 แต่มีเบอร์ 7 อื่น ๆ อีกหลายคัน ซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียน เนื่องจากวินเอเวอรี่ มอลล์ ได้ยื่นขอป้ายเหลืองไว้ทั้งหมด 17 เบอร์ แต่ตอนนี้ที่มีรถจักรยานยนต์มาขี่มีทั้งหมดประมาณ 80 คัน โดยที่หัวหน้าวินใช้วิธีหลีกเลี่ยง เอาเสื้อวินชื่ออื่นมาวิ่งในวินนี้เพิ่ม โดยที่เสื้อวินชื่ออื่น ๆ นั้นไม่ได้จดทะเบียน และไม่มีวินจริง เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกจับ หัวหน้าวินใช้วิธีเพิ่มรายได้ให้ตัวเขาเอง โดยเก็บเงินจากเสื้อหลาย ๆ ตัวที่เพิ่มเป็นค่าเปิดหัวคนละ 2,000 บาท และเก็บรายเดือนอีก ตอนนี้ที่วินมีเบอร์ซ้ำกันหลายเบอร์ พวกตนไม่สามารถมาวิ่งวินได้ มีการเรียกเก็บรายสัปดาห์อีก 350 บาท จะเพิ่มเป็น 400 บาท พวกตนก็เดือดร้อน
 
        โดยหลังจากที่เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันแล้ว หลังจากนี้พวกตนจะเดินทางเข้าร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนนทบุรีอีกครั้ง เพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก