ชี้ผลกระทบจากกรณี เต้ มงคลกิตติ์ ประกาศนำ 5 พรรคเล็ก เปลี่ยนบทบาทเป็นฝ่ายค้านอิสระ รัฐบาลอาจสะเทือนถึงขึ้นถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ยังกลับมาเป็นรัฐบาลได้ใหม่ เพราะ ส.ว. ยังโหวตเลือกนายกได้
จากกรณี นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ออกมาระบุว่า พรรคไทยศรีวิไลย์, พรรคพลังไทยรักไทย, พรรคประชาธิปไตยใหม่, พรรคประชาธรรมไทย และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ซึ่งเป็น 5 พรรคการเมืองเล็ก ที่มี ส.ส.พรรคละ 1 คน จะขอถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านอิสระ โดยไม่เกี่ยวข้องกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งนโยบายใดของรัฐบาลที่ดีฝ่ายค้านอิสระ ก็พร้อมสนับสนุน แต่หากนโยบายใดเห็นแล้วไม่เป็นประโยชน์ก็จะไม่สนับสนุน ตามที่ได้มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : มงคลกิตติ์ นำ 5 พรรคเล็ก ถอนตัวฝั่งรัฐบาล อาจทำเสียงรัฐบาลน้อยกว่าฝ่ายค้าน)
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 เฟซบุ๊ก iLaw รายงานว่า หาก 5 พรรคการเมืองขนาดเล็กจะมีการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แยกออกมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ 5 คน จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลเหลือ ส.ส. เพียง 246 คน ขณะที่ ฝ่ายค้านเดิม มี ส.ส. 246 คน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้รัฐบาล คสช. 2 ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา สุ่มเสี่ยงถูกล้มได้ หาก ฝ่ายค้านอิสระ จำนวน 5 คน จับมือกับ ฝ่ายค้านเดิม จำนวน 246 คน ลงมติไม่ไว้วางใจซึ่งใช้เสียง ส.ส. มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ทั้งหมด (500 คน) หรือ 251 เสียง ให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง
![พรรคเล็ก]( "พรรคเล็ก")
โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ สิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 151
ทั้งนี้ การลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจจะทำได้เพียงครั้งเดียวต่อปี ตามมาตรา 154 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้การเสนอญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 151 ให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง แต่ไม่นับการเปิดอภิปรายทั่วไปที่สิ้นสุดลง ด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไป
แต่ถึงแม้จะมีการยุบสภาจริง รัฐบาล คสช. 2 ของ พล.อ. ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งไป รัฐบาล คสช. 3 ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก เนื่องจาก ส.ว. ชุดเดิมนั้นยังสามารถโหวตเลือกนายกฯได้ เพราะมีข้อยกเว้นใน 5 ปีแรกของรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งหลังรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้ ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. สามารถร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ตามที่ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เฟซบุ๊ก iLaw
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2562 เฟซบุ๊ก iLaw รายงานว่า หาก 5 พรรคการเมืองขนาดเล็กจะมีการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แยกออกมาเป็นฝ่ายค้านอิสระ 5 คน จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลเหลือ ส.ส. เพียง 246 คน ขณะที่ ฝ่ายค้านเดิม มี ส.ส. 246 คน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะทำให้รัฐบาล คสช. 2 ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา สุ่มเสี่ยงถูกล้มได้ หาก ฝ่ายค้านอิสระ จำนวน 5 คน จับมือกับ ฝ่ายค้านเดิม จำนวน 246 คน ลงมติไม่ไว้วางใจซึ่งใช้เสียง ส.ส. มากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ทั้งหมด (500 คน) หรือ 251 เสียง ให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง
ภาพจาก thaigov
โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ สิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 151
ทั้งนี้ การลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจจะทำได้เพียงครั้งเดียวต่อปี ตามมาตรา 154 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้การเสนอญัตติอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 151 ให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง แต่ไม่นับการเปิดอภิปรายทั่วไปที่สิ้นสุดลง ด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไป
แต่ถึงแม้จะมีการยุบสภาจริง รัฐบาล คสช. 2 ของ พล.อ. ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งไป รัฐบาล คสช. 3 ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก เนื่องจาก ส.ว. ชุดเดิมนั้นยังสามารถโหวตเลือกนายกฯได้ เพราะมีข้อยกเว้นใน 5 ปีแรกของรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งหลังรัฐธรรมนูญปี 2560 ให้ ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. สามารถร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ตามที่ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เฟซบุ๊ก iLaw
