สาวโร่แจ้งความ แม่ถูกสวมชื่อ รับเงินฌาปนกิจกว่า 4 แสนบาท ผู้รับผลประโยชน์ บอก อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่กลัว
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 สปริงนิวส์ รายงานว่า พ.ต.ท. กุศล สิทธิขันแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจาก น.ส.ศศิร์อร กุลสิริเสฏฐ์ อายุ 36 ปี ระบุว่า มีคนในนิคมสงเคราะห์ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ลักลอบนำเอกสารของ นางจ่อย คิดเห็น อายุ 73 ปี ผู้เป็นแม่ ไปทำฌาปนกิจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ.เมือง จ.อุดรธานี และได้เบิกเอาเงินสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จ.อุดรธานี ไปกว่า 400,000 บาท
จากการสอบปากคำ น.ส.ศศิร์อร ลูกสาวของนางจ่อย ให้การว่า แม่ของตนเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้าน และนำศพของแม่ไปเผาที่วัดในวันที่ 16 ตุลาคม จากนั้นได้มีคนขับรถมาขอใบมรณบัตรของแม่
อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งสูญเสียแม่ไป จึงรับไม่ได้ที่ใครจะมาขอใบมรณบัตรไป เนื่องจากวันที่ 14 ตุลาคม เป็นวันหยุด ตนจึงยังไม่ได้ไปแจ้งความ แต่ได้ไปแจ้งตายในวันที่ 15 ตุลาคม เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นทางสมาคมฌาปนกิจ ก็ได้ส่งคนมาคุยกับตน ระบุว่า ให้ตนเข้าไปคุยข้อตกลงเรื่องฌาปนกิจ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ไปคุยอะไร เพราะตนไม่ได้ทำฌาปนกิจไว้เลย และไม่ได้มีปัญหากับใครด้วย
โดยในวันที่ 16 ตุลาคม ตนได้เข้าไปขอตรวจสอบจึงทราบว่ามีคนเข้ามาขอเบิกเงินฌาปนกิจกว่า 4 แสนบาท ในวันที่ตนเผาแม่ ซึ่งคนที่ไปเบิกเงินและนำเอาเอกสารของแม่ไปนั้น ไม่ได้มาขออนุญาตกับตนเลย หลังจากนั้นตนจึงให้ผู้ใหญ่บ้านไปเรียกคนที่รับผลประโยชน์มาคุยกับตนว่าได้ขออนุญาตตนหรือไม่ ที่ทำอะไรไปโดยพลการ ซึ่งทางผู้ที่รับผลประโยชน์ได้แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านกลับมาว่า อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่กลัว
ทั้งนี้ น.ส.ศศิร์อร มองว่า เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้เสียชีวิต ซึ่งตนก็คงไม่ยอมเช่นกัน โดยได้ไปติดต่อกับสำนักงานฌาปนกิจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงทราบว่าผู้รับผลประโยชน์เตรียมเอกสารมาครบทุกอย่าง ซึ่งเป็นระเบียบที่สามารถจ่ายเงินให้กับสมาชิกคนนี้ได้ แต่ในเอกสารที่กำหนดนั้นไม่มีตัวจริง โดยทางสำนักงานแจ้งมาว่าจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทำงานของสำนักงานจริงและไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ตนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกกับการที่จะต้องจ่ายเงินกว่า 4 แสนบาท กลับออกไป ซึ่งตนคิดว่าธุรกิจแบบนี้เป็นการเอาเปรียบชาวบ้านอย่างชัดเจน ตนจึงได้เดินทางมาแจ้งความดังกล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท. กุศล เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับแจ้งความไว้และจะเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 สปริงนิวส์ รายงานว่า พ.ต.ท. กุศล สิทธิขันแก้ว สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งจาก น.ส.ศศิร์อร กุลสิริเสฏฐ์ อายุ 36 ปี ระบุว่า มีคนในนิคมสงเคราะห์ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ลักลอบนำเอกสารของ นางจ่อย คิดเห็น อายุ 73 ปี ผู้เป็นแม่ ไปทำฌาปนกิจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อ.เมือง จ.อุดรธานี และได้เบิกเอาเงินสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จ.อุดรธานี ไปกว่า 400,000 บาท
จากการสอบปากคำ น.ส.ศศิร์อร ลูกสาวของนางจ่อย ให้การว่า แม่ของตนเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยได้ตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่บ้าน และนำศพของแม่ไปเผาที่วัดในวันที่ 16 ตุลาคม จากนั้นได้มีคนขับรถมาขอใบมรณบัตรของแม่
อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งสูญเสียแม่ไป จึงรับไม่ได้ที่ใครจะมาขอใบมรณบัตรไป เนื่องจากวันที่ 14 ตุลาคม เป็นวันหยุด ตนจึงยังไม่ได้ไปแจ้งความ แต่ได้ไปแจ้งตายในวันที่ 15 ตุลาคม เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นทางสมาคมฌาปนกิจ ก็ได้ส่งคนมาคุยกับตน ระบุว่า ให้ตนเข้าไปคุยข้อตกลงเรื่องฌาปนกิจ ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ไปคุยอะไร เพราะตนไม่ได้ทำฌาปนกิจไว้เลย และไม่ได้มีปัญหากับใครด้วย
โดยในวันที่ 16 ตุลาคม ตนได้เข้าไปขอตรวจสอบจึงทราบว่ามีคนเข้ามาขอเบิกเงินฌาปนกิจกว่า 4 แสนบาท ในวันที่ตนเผาแม่ ซึ่งคนที่ไปเบิกเงินและนำเอาเอกสารของแม่ไปนั้น ไม่ได้มาขออนุญาตกับตนเลย หลังจากนั้นตนจึงให้ผู้ใหญ่บ้านไปเรียกคนที่รับผลประโยชน์มาคุยกับตนว่าได้ขออนุญาตตนหรือไม่ ที่ทำอะไรไปโดยพลการ ซึ่งทางผู้ที่รับผลประโยชน์ได้แจ้งทางผู้ใหญ่บ้านกลับมาว่า อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่กลัว
ทั้งนี้ น.ส.ศศิร์อร มองว่า เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้เสียชีวิต ซึ่งตนก็คงไม่ยอมเช่นกัน โดยได้ไปติดต่อกับสำนักงานฌาปนกิจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงทราบว่าผู้รับผลประโยชน์เตรียมเอกสารมาครบทุกอย่าง ซึ่งเป็นระเบียบที่สามารถจ่ายเงินให้กับสมาชิกคนนี้ได้ แต่ในเอกสารที่กำหนดนั้นไม่มีตัวจริง โดยทางสำนักงานแจ้งมาว่าจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการทำงานของสำนักงานจริงและไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ตนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกกับการที่จะต้องจ่ายเงินกว่า 4 แสนบาท กลับออกไป ซึ่งตนคิดว่าธุรกิจแบบนี้เป็นการเอาเปรียบชาวบ้านอย่างชัดเจน ตนจึงได้เดินทางมาแจ้งความดังกล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท. กุศล เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับแจ้งความไว้และจะเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายมาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
