กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ส่งหนังสือทักท้วงถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา คัดค้านการแบนสารไกลโฟเซต ชี้อาจกระทบการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวสาลีของไทยหลายหมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวไทย รายงานว่า สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ทำหนังสือถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายดอน ปรมัติวินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
โดยมีเนื้อหาสำคัญระบุว่า กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้ตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยในการห้ามสารเคมีเกษตร 3 ชนิด ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา อีกทั้งทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยยังได้แนบเอกสารจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ส่งถึงนายกรัฐมนตรีของไทยด้วยว่า การแบนสารไกลโฟเซต โดยไม่พิจารณาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวสาลีของไทย
จึงหวังว่าประเทศไทยจะพิจารณาความกังวลนี้ เพราะไกลโฟเซตเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยาฆ่าแมลงที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและศึกษาอย่างจริงจังในโลก ซึ่งหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) ประเมินแล้วว่าไม่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์ สอดคล้องกับความคิดเห็นทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานอื่น ทั้งประเทศญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป, ออสเตรเลีย และองค์การเกษตรแห่งสหประชาชาติ จึงขอให้ชะลอการตัดสินใจเกี่ยวกับไกลโฟเซต เพื่อหาทางออกสำหรับสหรัฐอเมริกา
ภาพจาก สำนักข่าวไทย
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากการห้าม 3 ประการ คือ
1. เกษตรกรไทยจะต้องเผชิญกับต้นทุนสารเคมีทดแทนสูงขึ้น 75,000-125,000 ล้านบาท ของราคาตลาดของไทยในปัจจุบัน
2. หากไม่พบสารเคมีทดแทนที่เหมาะสม เนื่องจากกลูโคซิเนตมีแอมโมเนียมมีพิษมากกว่าไกลโฟเซต แต่น้อยกว่าพาราควอต ทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นสำหรับการปราบวัชพืช ส่วนการควบคุมรวมกับการสูญเสียผลผลิตพืช คาดว่าจะสูงถึง 128,000 ล้านบาท
3. สิ่งที่สหรัฐฯ กังวลมากที่สุดคือ จะมีผลกระทบต่อการนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวสาลี กาแฟ แอปเปิ้ลและองุ่น จากสหรัฐฯ มูลค่า 51,000 ล้านบาท ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นยังไม่รวมถึงผลกระทบที่ตามมาของผู้ผลิตอาหาร เช่น อุตสาหกรรมเบเกอรี่และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พึ่งพาข้าวสาลีที่นำเข้า 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อมาดำเนินธุรกิจมูลค่า 40,000 ล้านบาท
ขณะที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยอมรับว่า ต้องศึกษารอบด้านในการหาสารทดแทนเข้ามาใช้ เพราะกระทบหลายส่วน การทำงานเมื่อเป็นปัญหาการเมืองมักมีปัญหาตามมา