ยูเนสโก ประกาศให้ นวดแผนไทย เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้โดยยกเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมา ช่วยปรับสมดุลธาตุต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยรักษาอาการปวดเมื่อยอย่างได้ผล
วันที่ 13 ธันวาคม 2562 NEW18 รายงานว่า นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, นายชัย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชฑูตประจำกรุงปารีส ในฐานะคณะผู้แทนถาวรไทยประจำยูเนสโก, ดร.สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม, อ.อัจราพร พงษ์ฉวี รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, ดร.นันทศักดิ์ โชติชนะเดชาวงศ์ ผอ. กคพ. ในฐานะผู้รับผิดชอบงานหลักในงานดังกล่าว ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนวดไทย ดร.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก และ อ.ขัตติยะ ตั้งตรงจิตร พท.นิเวศ บวรกุลวัฒน์ ทีมงานกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ICH) ขององค์การยูเนสโก ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลัมเบีย
ล่าสุด คณะกรรมการยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนนวดแผนไทย ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage : ICH) โดย UNESCO อธิบายเพิ่มเติมว่า การนวดแผนไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิมของไทย ซึ่งเป็นการรักษาแบบไม่ใช้ยา และเป็นการบำบัดรักษาด้วยตัวเอง
โดยการนวดแผนไทย คือการยักย้ายถ่ายเทพลังงานไปช่วยปรับสมดุลตามโครงสร้างของร่างกายผู้ป่วย ที่เชื่อว่าเกิดจากการอุดตันการไหลเวียนของพลังงานตามเส้นต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งจะทำให้องค์ประกอบทั้ง 4 ในร่างกาย ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดความสมดุลเป็นปกติ โดยผู้นวดจะใช้มือ ข้อศอก เข่า และเท้า ในการนวด รวมถึงมีการประคบร้อนด้วยสมุนไพร เพื่อลดการอักเสบอีกด้วย
ในปัจจุบัน การนวดไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การนวดเพื่อบำบัดและการนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีรากฐานมาจากการดูแลสุขภาพของชาวนาไทยในอดีต ที่ทุกหมู่บ้านจะมีหมอนวด ให้ชาวนาได้ไปนวดเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการทำนา
กระทั่งเวลาผ่านไป ประสบการณ์เหล่านี้ได้ถูกพัฒนามาเป็นระบบความรู้อย่างเป็นทางการ โดยการนวดแผนไทยกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ในปี พ.ศ. 2528 และมีการมารวมตัวกันของหมอนวดเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาการนวดของไทยอยู่เป็นประจำทุกปี
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
NEW18, เว็บไซต์ UNESCO
วันที่ 13 ธันวาคม 2562 NEW18 รายงานว่า นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, นายชัย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เอกอัครราชฑูตประจำกรุงปารีส ในฐานะคณะผู้แทนถาวรไทยประจำยูเนสโก, ดร.สาวิตรี สุวรรณสถิตย์ ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม, อ.อัจราพร พงษ์ฉวี รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, ดร.นันทศักดิ์ โชติชนะเดชาวงศ์ ผอ. กคพ. ในฐานะผู้รับผิดชอบงานหลักในงานดังกล่าว ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนวดไทย ดร.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก และ อ.ขัตติยะ ตั้งตรงจิตร พท.นิเวศ บวรกุลวัฒน์ ทีมงานกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (ICH) ขององค์การยูเนสโก ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลัมเบีย
ล่าสุด คณะกรรมการยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียนนวดแผนไทย ให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage : ICH) โดย UNESCO อธิบายเพิ่มเติมว่า การนวดแผนไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิมของไทย ซึ่งเป็นการรักษาแบบไม่ใช้ยา และเป็นการบำบัดรักษาด้วยตัวเอง
โดยการนวดแผนไทย คือการยักย้ายถ่ายเทพลังงานไปช่วยปรับสมดุลตามโครงสร้างของร่างกายผู้ป่วย ที่เชื่อว่าเกิดจากการอุดตันการไหลเวียนของพลังงานตามเส้นต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งจะทำให้องค์ประกอบทั้ง 4 ในร่างกาย ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดความสมดุลเป็นปกติ โดยผู้นวดจะใช้มือ ข้อศอก เข่า และเท้า ในการนวด รวมถึงมีการประคบร้อนด้วยสมุนไพร เพื่อลดการอักเสบอีกด้วย
ในปัจจุบัน การนวดไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การนวดเพื่อบำบัดและการนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีรากฐานมาจากการดูแลสุขภาพของชาวนาไทยในอดีต ที่ทุกหมู่บ้านจะมีหมอนวด ให้ชาวนาได้ไปนวดเพื่อคลายความปวดเมื่อยจากการทำนา
กระทั่งเวลาผ่านไป ประสบการณ์เหล่านี้ได้ถูกพัฒนามาเป็นระบบความรู้อย่างเป็นทางการ โดยการนวดแผนไทยกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ในปี พ.ศ. 2528 และมีการมารวมตัวกันของหมอนวดเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาการนวดของไทยอยู่เป็นประจำทุกปี
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
NEW18, เว็บไซต์ UNESCO
