ศาลสูงไนจีเรีย สั่งแขวนคอเจ้าชาย หลังสมคบคิดฆ่าโหดนักธุรกิจหญิงผู้มีพระคุณ อำพรางศพ หวังฮุบกิจการและทรัพย์สิน
วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ศาลสูงประเทศไนจีเรีย ตัดสินโทษประหารชีวิต เจ้าชายอาดีวาลี โอยีกัน พระชันษา 50 ปี โอรสของ อดียินกา โอยีกัน ที่ 2 อดีตโอบาแห่งเลกอส ด้วยการแขวนคอ หลังพบมีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับชายวัย 27 ปี วางแผนฆ่านักธุรกิจหญิงวัย 62 ปี ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณ เพื่อหวังฮุบกิจการและทรัพย์สินของเธอ
รายงานเผยว่า เจ้าชายอาดีวาลี โอยีกัน ทรงศึกษาด้านวิชาสถาปัตยกรรมอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งที่พระราชบิดายังทรงดำรงฐานะเป็นโอบาแห่งเลกอส กระทั่งตอนที่ อดียินกา โอยีกัน ที่ 2 สิ้นพระชนม์ในปี 2546 เจ้าชายอาดีวาลีจึงต้องเสด็จกลับประเทศไนจีเรีย
ในตอนนั้น อัลฮาจา สิกิรัต เอกุน นักการเมืองหญิงซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ได้ให้การช่วยเหลือเจ้าชายในการเสด็จกลับประเทศ พร้อมให้การอุปการะดูแล โดยเสนองานที่ร้านอาหารให้แก่เจ้าชายอาดีวาลี รวมถึงยินดีให้เจ้าชายประทับอยู่ที่บ้านของเธอด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เจ้าชายอาดีวาลีกลับสมคบคิดกับ ลาทีฟ บาโลกัน อดีตลูกจ้างของเอกุน มาร่วมกันวางแผนฆ่าเธอด้วยกัน โดยเสนอเงินให้อีกฝ่าย 12.59 ปอนด์ (ราว 500 บาท)
สำหรับ ลาทีฟ บาโลกัน พบว่าเขาเคยได้รับการว่าจ้างจากเหยื่อให้ช่วยดูแลพ่อที่แก่ชรา แต่ต่อมาก็ได้มีข้อพิพาทกัน จนเขาต้องออกจากงานไป กระทั่งมาได้รับการติดต่อจากเจ้าชายให้ช่วยฆ่าเจ้านายเก่า
ทั้งนี้ ในวันที่ 17 ตุลาคม 2555 เจ้าชายอาดีวาลี กับผู้สมรู้ร่วมคิด ได้ทำการฆ่ารัดคอเอกุนจนเสียชีวิตที่บ้านของเธอ ก่อนนำศพไปโยนทิ้งบ่อน้ำลึกกว่า 304 เมตร ที่บริเวณบ้านของเธอเพื่ออำพรางคดี โดยเจ้าชายยังแกล้งส่งข้อความไปหาญาติ ๆ ของเหยื่อ ว่าเหยื่อเดินทางออกไปร่วมพิธีทางศาสนาที่เมืองอื่น
หลังเกิดเหตุ เจ้าชายก็ได้เข้ายึดกิจการร้านอาหาร รวมถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ของเหยื่อ แต่ความจริงอันโหดร้ายก็ได้ถูกเปิดโปง ในช่วงเวลา 2 เดือนหลังเกิดเหตุ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังขุดเจาะบ่อน้ำและดับเพลิงมาทำการตรวจค้นบ้านของผู้เสียชีวิต กระทั่งพบศพที่อยู่ในบ่อ
ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลสูงเมื่อเดือนเมษายน 2558 ทั้งเจ้าชายและผู้สมรู้ร่วมคิด ต่างปฏิเสธไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อ้างว่าเพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรกที่สถานีตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิพากษาของศาลสูง ในวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ผู้พิพากษาชี้ว่า หลักฐานแวดล้อมของคดีนี้มีความแข็งแกร่งและชัดเจน การกระทำของจำเลยทั้ง 2 คน เกิดขึ้นอย่างมีเจตนาและการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ศาลพบว่าความผิดตามคำฟ้องเป็นจริงโดยปราศจากข้อสงสัย จำเลยทั้ง 2 คน มีความผิดจริงในข้อหาสมรู้ร่วมคิดและฆาตกรรม โดยทั้งคู่จะถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ
