กรมทางหลวง เผยขับรถช้าต่ำกว่า 90 กม./ชม. ในช่องขวาสุด เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นอันดับ 2 รองจากขับตกข้างทาง แนะใช้ความเร็วที่เหมาะสม

ภาพจาก สำนักข่าว INN
วันที่ 14 มกราคม 2563 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า การใช้ความเร็วรถยนต์ที่ต่ำกว่า 90 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดของถนนทางหลวง 4 ช่องทาง เป็นสาเหตุสำคัญของการอุบัติเหตุอันดับที่ 2 หรือคิดเป็นสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด รองจากการเสียหลักตกข้างทาง ซึ่งมีสัดส่วนที่ 45 เปอร์เซ็นต์ นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน ดังนั้นผู้ขับขี่ควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมตามแต่ละช่องจราจรกำหนด เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว
![]()
ภาพจาก สำนักข่าว INN
ทั้งนี้ การกำหนดความเร็วที่เหมาะสมสำหรับในแต่ละช่องจราจร
กำหนดให้ช่องขวาสุดเป็นช่องทางที่ให้รถยนต์ใช้ความเร็วได้สูงสุด
และจะให้รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม. อยู่ในช่องทางอื่น ๆ
ทางด้านซ้าย โดยกำหนดความเร็วลดหลั่นลงมาตามลำดับ
การกำหนดในลักษณะนี้จะช่วยให้รถยนต์ที่วิ่งช้าไม่ทำให้ความเร็วเฉลี่ยของการจราจรในภาพรวมของถนนลดลงมากนัก
และไม่เกิดการสะสมชะลอตัว
วิธีการดังกล่าวจะช่วยลดการเปลี่ยนช่องจราจรที่ไม่จำเป็นลงได้ด้วย
ซึ่งจะเป็นการช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุการเฉี่ยวชนและการแซงในระยะกระชั้นชิดได้
![]()
ภาพจาก สำนักข่าว INN
ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN

ภาพจาก สำนักข่าว INN
วันที่ 14 มกราคม 2563 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า การใช้ความเร็วรถยนต์ที่ต่ำกว่า 90 กม./ชม. ในช่องทางขวาสุดของถนนทางหลวง 4 ช่องทาง เป็นสาเหตุสำคัญของการอุบัติเหตุอันดับที่ 2 หรือคิดเป็นสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด รองจากการเสียหลักตกข้างทาง ซึ่งมีสัดส่วนที่ 45 เปอร์เซ็นต์ นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน ดังนั้นผู้ขับขี่ควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมตามแต่ละช่องจราจรกำหนด เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว

ภาพจาก สำนักข่าว INN

ภาพจาก สำนักข่าว INN
อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงและหน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ
เตรียมเร่งดำเนินการตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ที่ได้สั่งการให้กรมทางหลวงสำรวจจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
และแก้ไขจุดเสี่ยงให้ครบถ้วน สำรวจไฟฟ้าแสงสว่างในเส้นทางต่าง ๆ
และปรับปรุงป้ายจราจร หมุดสะท้อนแสง
เส้นจราจรให้เห็นชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน
ตลอดจนให้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563
พร้อมนำเทคโนโลยีหรือใช้โดรนมาบริหารจัดการจราจรในทุกสถานการณ์ไม่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น