รมว.การท่องเที่ยวฯ ผุดมาตรการ ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย จ่อชง ชิมช้อปใช้ เวอร์ชั่นอินเตอร์ แจกเงินคนไทย ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก คนภูมิใจไทย
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 24 มกราคม 2562 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า วานนี้ (23 มกราคม) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ระบุว่า ในวันที่ 31 มกราคม นี้ จะเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว อาทิ มาตรการฟรีวีซ่า แก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย
โดยหากไม่ผ่านการเห็นชอบ ก็จะขอขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ไปจนถึงสิ้นปี 2563 จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน นี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากสองตลาดใหญ่ ชูเป็นจุดขายแข่งกับประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย ที่ประกาศให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม นี้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก คนภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ มั่นใจว่า การเสนอมาตรการยกเว้นวีซ่าในครั้งนี้ จะได้รับความเห็นชอบ หลังจากครั้งที่แล้วฝ่ายความมั่นคงมีข้อท้วงติง เพราะไม่ได้ประชุมแบบบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ในครั้งนี้ทั้ง 5 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประชุมหารือร่วมกันอย่างรอบด้าน เบื้องต้นมี 4 หน่วยงานเห็นด้วย เหลือเพียงกระทรวงการต่างประเทศที่ยังแบ่งรับแบ่งสู้
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
ทั้งนี้ หากมาตรการฟรีวีซ่านี้ผ่านความเห็นชอบ คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดีย จาก 1.9 ล้านคน เมื่อปีที่แล้ว เป็น 2.5 ล้านคน ในปีนี้ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน คาดว่าจะเพิ่มจาก 11 ล้านคน ปีที่แล้ว เป็นไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคน ในปีนี้
ขณะที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเสริมว่า ขณะนี้คู่แข่งจากทุกประเทศต่างออกมาตรการอำนวยความสะดวก แย่งชิงนักท่องเที่ยวไปจับจ่ายในประเทศตัวเอง รับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ไม่นิยมวางแผนล่วงหน้านาน ไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการด้านวีซ่า แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า ยังจำเป็นต้องขอวีซ่าอยู่ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
ภาพจาก เว็บไซต์ ชิมช้อปใช้
จึงมองว่าหากมาตรการฟรีวีซ่าดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบ สามารถผ่อนปรนให้เป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียแทนได้ หลังจากก่อนหน้านี้ ไทยเคยใช้มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนจนเห็นผลมาแล้ว หลังเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2558
นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า มาตรการที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือร่วมกับ ครม.เศรษฐกิจ ไม่ได้มีแค่มาตรการด้านวีซ่า แต่ยังมีอีกกว่า 10 มาตรการ เช่น กระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คล้ายโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม
โดยเบื้องต้นอาจแจกคูปองเงินสดให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบิน เปรียบเหมือน "ชิมช้อปใช้" เวอร์ชั่นชาวต่างชาติ เพื่อชดเชยผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า โดยในส่วนนี้จะใช้เงินจากงบประมาณกลางในวงเงิน ไม่ต่างจากโครงการชิมช้อปใช้
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมท่องเที่ยวไทยปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3.4 ล้านล้านบาท เพิ่มจาก 3.01 ล้านล้านบาท ในปีที่แล้ว แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.5-41 ล้านคน สร้างมูลค่า 2.1 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 172 ล้านคน สร้างมูลค่า 1.2-1.3 ล้านล้านบาท และถ้าหากมีมาตรการฟรีวีซ่าแก่ชาวจีนและอินเดีย เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 41.8 ล้านคน ตามเป้าหมายรัฐบาล
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก คนภูมิใจไทย
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
วันที่ 24 มกราคม 2562 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า วานนี้ (23 มกราคม) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ระบุว่า ในวันที่ 31 มกราคม นี้ จะเสนอมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว อาทิ มาตรการฟรีวีซ่า แก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย
โดยหากไม่ผ่านการเห็นชอบ ก็จะขอขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VoA) ไปจนถึงสิ้นปี 2563 จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน นี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากสองตลาดใหญ่ ชูเป็นจุดขายแข่งกับประเทศคู่แข่ง เช่น มาเลเซีย ที่ประกาศให้ฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เริ่มแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม นี้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก คนภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ มั่นใจว่า การเสนอมาตรการยกเว้นวีซ่าในครั้งนี้ จะได้รับความเห็นชอบ หลังจากครั้งที่แล้วฝ่ายความมั่นคงมีข้อท้วงติง เพราะไม่ได้ประชุมแบบบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ในครั้งนี้ทั้ง 5 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประชุมหารือร่วมกันอย่างรอบด้าน เบื้องต้นมี 4 หน่วยงานเห็นด้วย เหลือเพียงกระทรวงการต่างประเทศที่ยังแบ่งรับแบ่งสู้
ภาพจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้
ทั้งนี้ หากมาตรการฟรีวีซ่านี้ผ่านความเห็นชอบ คาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดีย จาก 1.9 ล้านคน เมื่อปีที่แล้ว เป็น 2.5 ล้านคน ในปีนี้ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน คาดว่าจะเพิ่มจาก 11 ล้านคน ปีที่แล้ว เป็นไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคน ในปีนี้
ขณะที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเสริมว่า ขณะนี้คู่แข่งจากทุกประเทศต่างออกมาตรการอำนวยความสะดวก แย่งชิงนักท่องเที่ยวไปจับจ่ายในประเทศตัวเอง รับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ไม่นิยมวางแผนล่วงหน้านาน ไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการด้านวีซ่า แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า ยังจำเป็นต้องขอวีซ่าอยู่ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
ภาพจาก เว็บไซต์ ชิมช้อปใช้
จึงมองว่าหากมาตรการฟรีวีซ่าดังกล่าวไม่ได้รับความเห็นชอบ สามารถผ่อนปรนให้เป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียแทนได้ หลังจากก่อนหน้านี้ ไทยเคยใช้มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนจนเห็นผลมาแล้ว หลังเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ เมื่อปี 2558
นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า มาตรการที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือร่วมกับ ครม.เศรษฐกิจ ไม่ได้มีแค่มาตรการด้านวีซ่า แต่ยังมีอีกกว่า 10 มาตรการ เช่น กระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คล้ายโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม
โดยเบื้องต้นอาจแจกคูปองเงินสดให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงสนามบิน เปรียบเหมือน "ชิมช้อปใช้" เวอร์ชั่นชาวต่างชาติ เพื่อชดเชยผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า โดยในส่วนนี้จะใช้เงินจากงบประมาณกลางในวงเงิน ไม่ต่างจากโครงการชิมช้อปใช้
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมท่องเที่ยวไทยปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3.4 ล้านล้านบาท เพิ่มจาก 3.01 ล้านล้านบาท ในปีที่แล้ว แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.5-41 ล้านคน สร้างมูลค่า 2.1 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทย 172 ล้านคน สร้างมูลค่า 1.2-1.3 ล้านล้านบาท และถ้าหากมีมาตรการฟรีวีซ่าแก่ชาวจีนและอินเดีย เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 41.8 ล้านคน ตามเป้าหมายรัฐบาล
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก