x close

กลุ่ม ปตท. ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 พร้อมเดินหน้าร่วมบรรเทาผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

        วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2563) นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองสะสมสูง ได้แก่

        1. การเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง 24.6 - 37.8 % 
        2. การเผาไหม้ของไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่ไม่สมบูรณ์  20.8 - 29.2 %
        3. ปัญหาฝุ่นละอองทั่วไปและการก่อสร้าง 15.2 - 20.7% 
        4. ปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความกดอากาศ ช่วงเดือน พ.ย. - ก.พ. กระแสลม และการใช้พลังงานในอาคารและครัวเรือน


          กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยไม่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การผลิตน้ำมันไร้สารตะกั่วเป็นรายแรก จนถึงพลังงานทางเลือกซึ่งเป็นพลังงานสะอาด อาทิ ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ตลอดจนพัฒนาไบโอดีเซล ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาด เผาไหม้สมบูรณ์ ช่วยในการลดมลภาวะทางอากาศ

          ทั้งนี้ จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ โดยสถาบันนวัตกรรม ปตท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทดสอบการใช้ B10 และ B20 เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานจริง พบว่า รถกระบะเครื่องยนต์ยูโร 4 ที่ใช้ไบโอดีเซล B10 สามารถช่วยลด PM2.5 ได้ถึงร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับการใช้ไบโอดีเซล B7


         ในด้านการส่งเสริมให้เกิดการใช้ไบโอดีเซล กลุ่ม ปตท. ได้ประกาศความพร้อมในการขยายสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน PTT UltraForce Diesel B10 ให้ครบทุกสถานีภายในเดือนมีนาคม 2563 รวมถึงส่งเสริมการใช้ B20 ในกลุ่มรถขนาดใหญ่ เน้นการใช้ผ่านรถโดยสารสาธารณะ เช่น รถเมล์ ขสมก. บขส. ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ อีกด้วย สำหรับการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล กลุ่ม ปตท. ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงโรงกลั่น เพื่อรองรับการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 5 คุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอนาคต เพื่อสอดรับตามแผนของนโยบายรัฐบาล

         ในด้านการใช้พลังงานทางเลือกสำหรับอนาคต กลุ่ม ปตท. มุ่งส่งเสริมเทคโนโลยีและสนับสนุนการพัฒนางานวิจัยอุปกรณ์สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) และมีแผนที่จะขยาย EV Charging Station ในสถานีบริการน้ำมันโดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 77 สถานี ในปี 2563 และเพิ่มเป็น 300 สถานี ภายในปี 2567 รวมทั้งสนับสนุน Start Up ด้านยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมศึกษาวิจัยความเหมาะสมของเทคโนโลยีระบบการบำบัด PM2.5 ในการช่วยบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศ นอกจากนี้ มีแผนดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะในปี 2564 โดยมีมาตรการในการจัดการมลพิษทางอากาศด้วยระบบดักฝุ่นได้มากกว่าร้อยละ 95 พร้อมติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศจากปล่องระบายแบบต่อเนื่อง

         นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังได้ดำเนินตามกรอบมาตรฐานสากล เพื่อให้กระบวนการผลิตของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน และโรงปิโตรเคมี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการปฏิบัติการสู่ความเป็นเลิศ (PTT Group Operational Excellence) รวมถึงยังจัดทำ "โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง และสนับสนุนปรับเปลี่ยนใช้พลังงานสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2563 ซึ่งหากไม่มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมอย่างเช่นปัจจุบัน จะทำให้มีการปล่อย PM2.5 ถึงวันละ 86 ล้านกรัมต่อวัน หรือมากกว่าในปัจจุบันถึง 96%

การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินมาตรฐาน ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้โดยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เริ่มตั้งแต่การหยุดการเผาในที่โล่งแจ้ง ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการตรวจสอบสมรรถนะเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ซึ่ง กลุ่ม ปตท. โดย ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ของโออาร์ ได้จัดโปรโมชั่นร่วมบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง โดยให้บริการตรวจเช็กสภาพรถฟรี 30 รายการ พร้อมการมอบส่วนลดพิเศษทั้งน้ำมันหล่อลื่นและการล้างแอร์รถยนต์ จนถึงสิ้นเดือน ก.พ. นี้ อีกส่วนที่ทุกคนสามารถช่วยกันได้ คือ ร่วมกันปลูกและดูแลต้นไม้ ในโครงการ "ปลูกเพื่อเปลี่ยน" ทั้งที่บ้าน สถานศึกษา รวมทั้งที่ทำงาน เพื่อช่วยดูดซับมลภาวะ ฝุ่นละออง และลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน

นายชาญศิลป์ กล่าว

           ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. เองได้เดินหน้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ จนขยายผลมาสู่การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ศูนย์เรียนรู้ป่าวังจันทร์ จ.ระยอง และศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบัน กลุ่ม ปตท. ได้ขยายพื้นที่สีเขียวเข้าสู่ตัวเมือง ผ่านการดำเนินโครงการ Our Khung Bangkachao ที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ภายใต้การกำกับโดยมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อให้คุ้งบางกะเจ้ากลับมามีความสมบูรณ์เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ผลิตออกซิเจนให้กรุงเทพฯ ถึงปีละ 9 เดือน และโครงการ Green Bangkok 2030 ร่วมกับกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย พัฒนาพื้นที่สีเขียวให้ได้ 30% ของพื้นที่เมืองภายใน 10 ปี ทำให้มีพื้นที่ร่มไม้มากขึ้น โดยต้นไม้ 1 ต้นมีศักยภาพในการดักจับจับฝุ่นละออง และมลภาวะทางอากาศ 1.5 กิโลกรัมต่อปี

           กลุ่ม ปตท. พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รณรงค์กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักรู้และลงมือช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างพลังงานทางเลือกที่ดีกว่าให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กลุ่ม ปตท. ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 พร้อมเดินหน้าร่วมบรรเทาผลกระทบอย่างต่อเนื่อง อัปเดตล่าสุด 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 16:55:09 1,314 อ่าน
TOP