เปรียบเทียบสเปก 3 รุ่นมือถือน่าใช้ Samsung Galaxy S20+, iPhone 11 และ OPPO Reno3 Pro ทั้งในแง่การดีไซน์ สเปกตัวเครื่อง ความลื่นไหล รวมถึงสมรรถนะของกล้องถ่ายรูปและวิดีโอ มาดูกันว่าแต่ละรุ่นนั้นแตกต่างกันอย่างไร
ดีไซน์ไหนที่เข้าตา
Samsung Galaxy S20+ เมื่อลองถือแล้ว น้ำหนักเบา (แต่อาจจะหนักกว่า OPPO ไปสักนิด (186 กรัม) วัสดุเป็นกระจกแต่ไม่โค้งมน ขอบเครื่องเงาแบบโครเมียม มี 3 สี คือ Cosmic Grey, Cloud Blue, Cosmic Black
iPhone 11 ด้านหลังวัสดุเป็นกระจกแบบวาว น้ำหนักเบา แต่จะหนักที่สุดใน 3 เครื่อง (194 กรัม) กรอบด้านข้างเป็นอะลูมิเนียมโทนเดียวกับสีเครื่อง มีสีให้เลือกเยอะที่สุดถึง 6 สี คือ ม่วง, เหลือง, เขียว, ดำ, ขาว และแดง
OPPO Reno3 Pro ตัวเครื่องบาง มีน้ำหนักเบาที่สุดจากทั้ง 3 เครื่อง เพียง 175 กรัม แต่เมื่อจับดูจะรู้สึกถึงความแข็งแรง ดีไซน์โค้งมน ถือจับได้ถนัด ด้านหลังเครื่องไล่เฉดสี เวลามีแสงตกกระทบจะมีประกายสวยงาม มี 3 สีให้เลือก คือ สีน้ำเงิน Auroral Blue, สีดำ Midnight Black และ สีขาว Sky White Limited Edition
จอแสดงผล
Samsung Galaxy S20+ เป็นจอ Punch-hole Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว ฝังกล้องหน้าไว้ที่กึ่งกลางจอจนแทบมองไม่เห็น
iPhone 11 เป็นจอ Liquid Retina HD ขนาด 6.1 นิ้ว แสดงผลได้เต็มจอน้อยกว่ารุ่นอื่น ๆ และมีรอยบากของกล้องหน้าอยู่กึ่งกลางจอ
OPPO Reno3 Pro เป็นจอ Dual Punch-hole Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว แสดงผลเต็มจอ มีกล้องหน้าฝังอยู่ที่มุมซ้าย เรียบเสมอกับจอ ไม่รบกวนสายตา
และเมื่อเปิดการใช้งานหน้าจออย่างการดูคลิปวิดีโอ ทั้ง 3 รุ่น มีการแสดงผลของภาพที่แตกต่างกัน Samsung Galaxy S20+ เพลิดเพลินตากับการแสดงผลที่ค่อนข้างสดใส ชวนสะดุดตา ในขณะที่ iPhone 11 สีของภาพมีความสมจริง และ OPPO Reno3 Pro สีของหน้าจอมีความสดใส ไม่แสบตาจนเกินไป
สำหรับใครที่กังวลว่าการใช้งานมือถือ 3 รุ่นนี้ในช่วงเวลากลางคืนจะเป็นอย่างไร ต้องบอกว่า เป็นจอถนอมสายตาทั้ง 3 รุ่น สำหรับ Samsung Galaxy S20+ หน้าจอถนอมสายตา ด้วยการลบแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายที่ระดับพิกเซล และคงความสีสดคมชัดของภาพ iPhone 11 มีฟีเจอร์หน้าจอแบบ Night Shift ปรับหน้าจอให้เป็นโทนสีอบอุ่นสบายตาได้อัตโนมัติ และ OPPO Reno3 Pro มีโหมดถนอมสายตา ลดแสงสีฟ้าลง ช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาเวลาจ้องหน้าจอเป็นเวลานานได้ด้วย
วัดประสิทธิภาพของกล้องหน้า
Samsung Galaxy S20+ กล้องหน้า 1 ตัว Dual Pixel ความละเอียดน่ารัก ๆ อยู่ที่ 10MP รูรับแสง f/2.2 ถือว่าน้อยที่สุดในบรรดา 3 เครื่อง
ต่อมาเป็น iPhone 11 มีกล้องหน้า 1 ตัว ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.2 มีเลนส์ Wide ในตัว และยังมาพร้อมกับ Retina Flash สำหรับถ่าย Selfie เพิ่มความสว่างได้มากขึ้น
และสุดท้ายคือ OPPO Reno3 Pro เป็นสมาร์ทโฟนกล้องหน้าคู่ Dual Punch-hole Camera มีความละเอียดสูงถึง 44MP เรียกได้ว่าค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว รูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.4 และเลนส์ Depth of Field ความละเอียด 2MP รูรับแสง f/2.4 ที่สามารถปรับ Bokeh ละลายพื้นหลังขณะเซลฟี่ได้แบบเป็นธรรมชาติ ด้วยความละเอียดขนาดนี้เลยทำให้ภาพเซลฟี่มีความคมชัดมากขึ้นไปด้วย
ภาพเซลฟี่ตอนกลางวัน
ด้านของความคมชัดในแต่ละรุ่นเมื่อถ่ายด้วยกล้องหน้าโหมดปกติ Samsung Galaxy S20+ ถ่ายเซลฟี่ออกมาได้เรียบเนียน ขณะที่ iPhone 11 ภาพเซลฟี่จะเน้นความสมจริง ปรากฏรายละเอียดต่าง ๆ ของใบหน้า ส่วน OPPO Reno3 Pro มีการปรับและตกแต่งผิวให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ และสะดุดตาด้วยสีสันสดใสของรูปถ่าย
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น สำหรับภาพเซลฟี่กลางวันของทั้ง Samsung Galaxy S20+ และ OPPO Reno3 Pro มีโหมด AI Beauty เป็นตัวช่วยให้การเซลฟี่ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น สังเกตได้ว่ารูปที่ได้หน้านางแบบจะดูเรียบเนียนเป็นพิเศษ แชะออกมาแล้วสวยดูเป็นธรรมชาติ จะแตกต่างก็เพียงในเรื่องของสีสัน โหมด AI Beauty ของ Samsung Galaxy S20+ สามารถปรับความเรียบเนียน, สีผิว, แนวกราม และดวงตา และโหมด AI Beauty ของ OPPO Reno3 Pro สามารถปรับความเรียบเนียน, ใบหน้าเรียว, ตาโต, จมูกเล็กลง, คาง, ใบหน้าเล็กลง, เสริมแต่ง และสามมิติ ในขณะที่ iPhone 11 ไม่มีโหมดดังกล่าว
ภาพเซลฟี่ตอนกลางคืน
ภาพเซลฟี่ตอนกลางคืนของ Samsung Galaxy S20+ รูปเซลฟี่กลางคืนยังคงมีความเรียบเนียนของใบหน้าอยู่ หากแต่รายละเอียดของพื้นหลังอาจจะไม่คมชัดเหมือนอย่างที่สายตาเห็น ในส่วนของ iPhone 11 ก็ยังสามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องอาศัยการปรับแสงให้สว่างเพิ่มขึ้นอีกนิดเท่านั้น และ OPPO Reno3 Pro มีความคมชัด ไม่แตก และแทบจะไม่มี Noise เก็บรายละเอียดได้ถึงฉากหลังด้วย
หรือแม้แต่การถ่ายเซลฟี่กลางคืนในโหมดโบเก้ แน่นอนว่าทั้ง Samsung Galaxy S20+, iPhone 11 และ OPPO Reno3 Pro ก็ทำได้ดีเช่นกัน ถึงแม้แสงน้อยก็ไม่เป็นอุปสรรคที่จะทำให้รูปของคุณโดดเด่นไม่แพ้ช่วงกลางวัน
และทั้ง Samsung Galaxy S20+ และ OPPO Reno3 Pro ก็มีโหมด AI Beauty ที่พร้อมเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถเซลฟี่ตอนกลางคืนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องกังวลสภาพของแสง เพราะมีโหมดนี้มาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย เลือกปรับได้เลยตามใจชอบ ในขณะที่ iPhone 11 ไม่มีโหมดนี้
ภาพถ่ายย้อนแสง
สำหรับภาพถ่ายย้อนแสงของทั้ง 3 รุ่น สามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ครบถ้วน ตัวแบบไม่มืดดำ โดย Samsung Galaxy S20+ ตอนถ่ายอาจจำเป็นต้องเพิ่มความสว่างของใบหน้านางแบบขึ้นอีกนิด หากในส่วนรายละเอียดแวดล้อมของภาพเก็บได้อย่างคมชัดและเรียบเนียน ขณะที่ iPhone 11 ภาพถ่ายย้อนแสงมีสีสันที่เน้นความสมจริง แต่ถ้าดูให้ดี ๆ หน้านางแบบอาจจะยังไม่สว่างมากนัก แต่ก็มีฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มความสว่างให้กับใบหน้าได้ และ OPPO Reno3 Pro แม้จะถ่ายย้อนแสง ก็ยังคงถ่ายทอดสีสันและรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และดูสมจริง
ส่องความเทพของกล้องหลัง
มาดูในส่วนของกล้องหลัง Samsung Galaxy S20+ ก็มีกล้องหลัง 4 ตัวเช่นเดียวกัน ประกอบไปด้วย เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.2, เลนส์ Wide ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.4 และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 MP และเซ็นเซอร์ TOF (Time Of Flight) ละลายฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
iPhone 11 มีกล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 12MP ทั้งคู่ เป็นเลนส์ Wide รูรับแสงขนาด f/1.8 และเลนส์ Ultra Wide รูรับแสงขนาด f/2.4
OPPO Reno3 Pro มี 4 ตัว กล้องหลักความคมชัดสูงสุดถึง 64MP รูรับแสงกว้าง f/1.8 และมีเลนส์ Telephoto ความละเอียด 13MP, เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8MP และเลนส์ Mono ความละเอียด 2MP ถือว่าค่อนข้างหลากหลายสำหรับการใช้งานมากเลยทีเดียว
ภาพถ่ายแสงธรรมชาติ
เมื่อลองถ่ายภาพวิวในโหมดปกติ ความคมชัดและการเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนพอ ๆ กัน แต่จะแตกต่างในเรื่องของโทนสี
เช่นเดียวกับภาพถ่ายคน Samsung Galaxy S20+, iPhone 11 และ OPPO Reno3 Pro ถ่ายออกมาได้สวยสมบูรณ์แบบ คมชัด และเก็บรายละเอียดได้ดี แต่แตกต่างกันในดีเทลเฉดสีแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภาพถ่ายมุมกว้างกับเลนส์ Wide
ทั้ง 3 รุ่นล้วนมีเลนส์ Wide เหมือนกันทั้งหมด iPhone 11 และ Samsung Galaxy S20+ มีความละเอียดเท่ากันอยู่ที่ 12MP ส่วนของ OPPO Reno3 Pro เป็นเลนส์ Ultra Wide-Angle ความละเอียดอยู่ที่ 8MP
รวมถึงในส่วนของการถ่าย Portrait ด้วยเลนส์ Wide Samsung Galaxy S20+, iPhone 11 และ OPPO Reno3 Pro ก็ถ่ายออกมาได้สวยแบบสูสี โดยโทนสีของแต่ละแบรนด์ก็จะให้อารมณ์แตกต่างกันไป
ภาพถ่ายบุคคล (Portrait)
ในส่วนของ Samsung Galaxy S20+ เน้นที่สีสันสดใสของภาพถ่าย สังเกตได้จากสีท้องฟ้าที่ดูจะสดใสกว่า และ iPhone 11 ถ่ายเบลอพื้นหลังได้เนียน ดูเป็นธรรมชาติ และ OPPO Reno3 Pro มีฟีเจอร์ AI Beauty ที่จะช่วยปรับความเรียบเนียนของใบหน้า และมีฟิลเตอร์สีให้เลือกใช้ 6 แบบ คุมโทนเสร็จ พร้อมลงโซเชียล
ภาพถ่ายซูมระยะไกล
เพื่อเป็นการทดสอบประสิทธิภาพการซูมของมือถือทั้ง 3 รุ่น เราจึงทดสอบด้วยการซูมตึกจากระยะไกลสายตา โดยเริ่มถ่ายด้วยฟังก์ชันการซูมระยะปกติ 1 เท่า ต่อด้วยการซูมภาพ 5 เท่า 10 เท่า และ 20 เท่า มาดูกันว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง
Zoom 1x
Zoom 5x
Zoom 10x (iPhone 11 ไม่มีฟังก์ชันนี้)
Zoom 20x (iPhone 11 ไม่มีฟังก์ชันนี้)
มือถือทั้ง 3 รุ่น สามารถซูมในระยะ 1 เท่า และ 5 เท่า ได้เหมือนกัน Samsung Galaxy S20+ ซูมได้สูงสุด 30 เท่า ขณะที่ iPhone 11 สามารถซูมได้สูงสุดเพียง 5 เท่า เท่านั้น แต่ใน OPPO Reno3 Pro มีเลนส์ซูม Telephoto สามารถซูมแบบ Hybrid ได้ 5 เท่า และซูมแบบ Digital ได้ 20 เท่า
ภาพถ่าย Macro
สำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือ Macro มือถือทั้ง 3 รุ่น มีความสามารถในการ Close Up ในระยะประชิดได้มาก และมีกำลังขยายที่สูง โดยแต่ละรุ่นก็จะมีสไตล์และความอิ่มของสีที่ได้แตกต่างกันไป
ภาพถ่ายย้อนแสง
ภาพถ่ายย้อนแสงในส่วนของภาพคนของทั้ง 3 รุ่น จะเห็นว่าสีท้องฟ้าไม่ต่างกันมากนัก Samsung Galaxy S20+ และ iPhone 11 อาจจะต้องปรับแสงให้สว่างขึ้นอีกนิด ขณะที่ OPPO Reno3 Pro ค่อนข้างทำได้ดี และสังเกตได้ว่า ตัวนางแบบแทบจะไม่มืดเลยสักนิดเดียว
เมื่อเราลองเลือกถ่ายภาพวิวย้อนแสง ในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจัด ทั้ง 3 รุ่น มีความใกล้เคียง ถ่ายออกมาได้สวยคมชัดเช่นเดียวกัน
ภาพถ่ายกลางคืน
การถ่ายภาพกลางคืนก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ท้าทายสำหรับมือถือยุคใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยทำให้เรื่องแสงอันจำกัดไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป โดย Samsung Galaxy S20+ ภาพที่ได้ดูสว่างกว่า สำหรับ iPhone 11 ให้ความสว่างที่พอเหมาะ แสดงสีและความละเอียดคมชัด มี Noise ให้เห็นประปราย และ OPPO Reno3 Pro มี Ultra Dark Mode ที่สามารถถ่ายภาพคมชัดแม้ในที่มืดหรือแสงน้อย เก็บรายละเอียดของภาพได้ค่อนข้างคมชัด ลองสังเกตจากดวงไฟที่ยังคงกลมชัด โบเก้ไม่กระจาย
ถ่าย VDO
นอกเหนือไปจากการทดสอบถ่ายภาพนิ่งแล้ว การถ่ายวิดีโอก็เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่น่าสนใจของมือถือทั้ง 3 รุ่นนี้ โดยทั้ง Samsung Galaxy S20+, iPhone 11 และ OPPO Reno3 Pro มาพร้อมกับโหมดกันสั่น ซึ่งช่วยให้การถ่ายนิ่งขึ้น ให้คุณถ่ายวิดีโอได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบคลิปวิดีโอให้เห็นชัด ๆ จะพบว่า Samsung Galaxy S20+ มีโหมดกันสั่นเช่นเดียวกัน ถ่ายคลิปออกมานิ่งในระดับที่น่าพอใจ ด้วยเพราะมี AI ระบบกันสั่น เทียบเท่ากล้องแอคชั่นแคม เซนเซอร์ขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทำงานร่วมกับระบบกันสั่น anti-rolling stabilizer ปรับสมดุลการสั่นของกล้องในองศาที่มากขึ้น ให้คุณได้วีดีโอที่คมชัด ลดการสั่นไหว และไหลลื่นสมจริง
iPhone 11 มาพร้อมจุดเด่นด้านความคมชัดแบบ 4K และมี QuickTake สลับเปลี่ยนระหว่างโหมดถ่ายรูปกับโหมดถ่ายวิดีโอได้ด้วย สามารถเลือกถ่ายได้ทั้งเลนส์ Wide แบบปกติ และเลนส์ Ultra wide นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การตัดต่อ การปรับเอียงวิดีโอ และการใส่ฟิลเตอร์ เป็นต้น
OPPO Reno3 Pro มีจุดเด่นอยู่ที่ Ultra Steady Video 2.0 หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “กันสั่น” ช่วยให้การถ่ายวิดีโอนิ่งขึ้นมาก มีฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ สามารถปรับ Bokeh Effect ละลายฉากหลังเพิ่มได้ และยังมี Ultra Wide Angle ถ่ายคลิปได้มุมที่กว้างมากขึ้นอีกด้วย
Charging Speed
หลังจากชาร์จไปประมาณ 20 นาที ระดับแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น ดังนี้
- Samsung Galaxy S20+ ระดับแบตเตอรี่ 29%
- iPhone 11 ระดับแบตเตอรี่เพียง 14%
- OPPO Reno3 Pro ระดับแบตเตอรี่ได้มาถึง 50%
และเมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง…
OPPO Reno3 Pro ชาร์จได้ 100% เต็ม อาจด้วย “30W VOOC Flash Charge 4.0” เทคโนโลยีชาร์จไวอันเลื่องชื่อของ OPPO จึงทำให้การชาร์จแบตเตอรี่เร็วกว่าเครื่องอื่น ๆ ในขณะที่ Samsung Galaxy S20+ ระดับแบตเตอรี่ได้มาที่ 62% และ iPhone 11 ระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 34% เท่านั้นเอง
ขนาดแบตเตอรี่
- Samsung Galaxy S20+ แบตเตอรี่ใหญ่ที่สุด ขนาด 4,500mAh รองรับชาร์จไว 25W ทั้งแบบมีสายและไร้สาย และมาพร้อมฟีเจอร์ Wireless Power Share
- iPhone 11 แบตเตอรี่ขนาด 3,110mAh แบตฯ อึดกว่า iPhone XR ด้วยชิป A13 Bionic ที่ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้น
- OPPO Reno3 Pro ใช้แบตเตอรี่ขนาด 4,025mAh และเร่งความเร็วในการชาร์จที่ไวขึ้น
สเปกอื่น ๆ
หลังจากทดสอบการใช้งานทั้ง 3 รุ่น ขอสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ สั้น ๆ คือ Samsung Galaxy S20+ มีจุดเด่นในเรื่องของหน้าจอที่สวยคมชัดแบบเต็มตา การสัมผัสหน้าจอรวดเร็ว แม่นยำ รวมถึงคุณสมบัติของการถ่ายวิดีโอที่นิ่งและคมชัดไม่แพ้กับภาพถ่าย สีสันที่ได้คล้ายกับที่ตาเห็น น่าสนใจไม่แพ้กัน
ขณะที่ iPhone 11 ที่มีดีกรีด้านดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของไอโฟน ถือว่าจัดเต็มในด้านประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล แบตเตอรี่ และกล้อง ใช้งานสะดวกไม่ว่าจะในส่วนของการถ่ายวิดีโอและกล้องถ่ายรูป ที่ถ่ายออกมาได้สวยงาม สีสด และคมชัดเป็นธรรมชาติ
ทางด้าน OPPO Reno3 Pro มีดีไซน์ที่ทันสมัย โค้งมน จับถนัดมือ หน้าจอใหญ่คมชัด มองเห็นเต็มตา ภาพที่ถ่ายออกมาโดดเด่นในเรื่องของการให้สีสันที่สวยคมและเรียบเนียน ไม่ว่าจะแสงมากแสงน้อย ก็ไม่เป็นอุปสรรค การถ่ายวิดีโอมีความนิ่ง และทีเด็ดอยู่ที่ชาร์จแบตเตอรี่ค่อนข้างไว
เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียวสำหรับมือถือทั้ง 3 รุ่นนี้ หากคุณกำลังมองหามือถือเครื่องใหม่ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นนะคะ