เจ้าหน้าที่ พฐ. บุกตรวจสอบบ้านลุงน้องชมพู่ เก็บเสื้อผ้าวันเกิดเหตุ และ DNA ในรถไปตรวจสอบ เจ้าตัวเผยไม่กังวล ด้านเมียเผยเสียความรู้สึกตำรวจไม่แจ้งล่วงหน้า ยันพร้อมสู้คดีหากสามีถูกออกหมายจับ
จากกรณีน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ หายตัวไปอย่างลึกลับ จากบ้านพักที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ก่อนจะพบกลายเป็นศพกลางป่าบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 5 กม. กระทั่งผลชันสูตรจาก รพ.ตำรวจ พบบาดแผลที่อวัยวะเพศ โดยทางตำรวจได้เร่งสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงมานานกว่า 30 วันแล้ว แต่ก็ยังไม่ทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุคือใคร
อ่านข่าว : ไล่ไทม์ไลน์คดี น้องชมพู่ ตั้งแต่วันแรกที่หายตัว - พบศพ - แม่มีผู้ต้องสงสัยในใจ
ล่าสุด วันที่ 12 มิถุนายน 2563 อมรินทร์ ทีวี รายงานว่า ตำรวจ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกองศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักของนายไชยพล วิภา ลุงของน้องชมพู่ เพื่อเก็บหลักฐานและดีเอ็นเอต่าง ๆ ที่อยู่ในรถกระบะของนายไชยพล พร้อมกับคุ้ยกองขยะที่เผาหน้าบ้าน และเดินหาหลักฐานบริเวณป่าไผ่หลังบ้าน
นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บเสื้อ, กางเกงยีนส์, รองเท้าบูต, กางเกงกีฬาสีขาวที่ใส่ทำงาน, กางเกงกีฬาสีดำที่ใส่ทำงาน, เสื้อผ้าทั้งหมดที่ยังไม่ได้ซัก, รองเท้ายางสีดำ ของนายไชยพล ไปตรวจสอบ ซึ่งตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้น นายไชยพลและภรรยาได้นั่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และไม่มีท่าทีเครียด สีหน้ายังสดใสและพูดคุยตามปกติ
โดย นายไชยพล ได้เปิดเผยภายหลังจากเจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานไปแล้วว่า วันนี้ทางตำรวจได้ตรวจสอบเก็บดีเอ็นเอภายในรถของตน ซึ่งเชื่อว่าอาจจะหาหลักฐานเกี่ยวกับน้องชมพู่ เนื่องจากน้องชมพู่ก็เคยขึ้นรถคันนี้ คงต้องมีดีเอ็นเอหลงเหลือบ้าง และตำรวจได้เก็บเสื้อผ้าที่ตนใส่ตอนขับรถไปส่งพระที่วัดถ้ำภูผาแอก ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ไปด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าน้องชมพู่หายไปในเวลาใด แต่คาดว่าช่วงที่น้องชมพู่หายไปนั้น ตนยังอยู่ในสวนยางพาราที่ไปจับ GPS กับแม่ของน้องชมพู่
นอกจากนี้ทางตำรวจยังได้ขอชุดที่ตนใส่ทำงานในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563
แต่ตนไม่มั่นใจว่าเป็นเสื้อตัวไหน เพราะตนมีเสื้อแขนสีฟ้าที่ใส่ทำงาน 2 ตัว
ตำรวจจึงได้เก็บเสื้อม่อฮ่อมไปแทน
ทั้งนี้
ตนไม่รู้สึกกังวลที่ตำรวจมาเก็บหลักฐานเพิ่มเติม
และมองว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก อยากให้ตำรวจทำแบบนี้กับทุกคนที่สงสัย
เพราะจะได้มีหลักฐานมัดตัวคนร้าย ถ้าใครเป็นคนร้ายจะดิ้นไม่หลุด
และตนก็ไม่กลัวว่าจะตกเป็นแพะรับบาปด้วย
เพราะเชื่อว่าสมัยนี้คงไม่มีการจับแพะกันแล้ว
แม้ตำรวจจะออกหมายจับตนก็ต้องดูที่หลักฐานเจ้าหน้าที่นำมาใช้ออกหมายจับนั้นว่าคืออะไร
และเหตุผลที่ดีเอ็นเอไปตรงกับดีเอ็นเอที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้น
ว่าเป็นดีเอ็นเอที่มาจากส่วนไหน ซึ่งตอนนี้ตนก็ไม่รู้สึกกังวลอะไร
และสำหรับกองขยะที่เผานั้น เป็นเศษขยะและเศษอาหาร
ซึ่งตำรวจก็คิดว่าตนจะเผาหลักฐาน ตนก็เต็มใจให้ตรวจทั้งหมด
ด้าน น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ ภรรยาของนายไชยพล เปิดเผยว่า
วันนี้ตนได้พาลูกชายไปหาหมอที่ จ.สกลนคร เมื่อกลับมาก็พบว่ามีรถตำรวจจอดอยู่เต็มหน้าบ้านแล้ว
แต่ก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการเก็บหลักฐานเพิ่มเติมในรถกระบะ
และเสื้อผ้าที่เคยใส่ เพราะไม่ได้กังวลอะไร
หากเจ้าหน้าที่ทำด้วยความยุติธรรม และก็กลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างเหมือนกัน
แต่หากวันหนึ่งตำรวจออกหมายจับสามีจริง ๆ ตนและครอบครัวก็ต้องสู้
เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์
สำหรับครั้งล่าสุดที่น้องชมพู่ขึ้นรถนั้น
ตนก็จำไม่ได้ แต่ก็นานมากแล้ว ซึ่งตอนน้องชมพู่ไปไหน ก็จะมีพี่สาวของน้องชมพู่ไปด้วย
โดยน้องชมพู่จะนั่งตักตนที่เบาะข้างที่นั่งคนขับ
แต่ถ้าแม่ของน้องชมพู่มาด้วย น้องก็จะไปนั่งเบาะหลัง
ส่วนสาเหตุที่ตำรวจมาเก็บดีเอ็นเอในรถนั้น คาดว่าตำรวจคงคิดว่าสามีของตนลักพาตัวเด็กขึ้นรถ ซึ่งตนมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะรถคันนี้อยู่ในสายตาตนตลอด ไปไหนมาไหนตนก็จะไปด้วย มีเพียงช่วงเวลาเดียวที่ตนไม่เห็น คือช่วงที่สามีไปรับพระที่วัดถ้ำภูผาแอก ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ใช้เวลานาน พร้อมยอมรับว่าเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ตำรวจมาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก อมรินทร์ ทีวี
อ่านข่าว : ไล่ไทม์ไลน์คดี น้องชมพู่ ตั้งแต่วันแรกที่หายตัว - พบศพ - แม่มีผู้ต้องสงสัยในใจ
ล่าสุด วันที่ 12 มิถุนายน 2563 อมรินทร์ ทีวี รายงานว่า ตำรวจ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกองศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักของนายไชยพล วิภา ลุงของน้องชมพู่ เพื่อเก็บหลักฐานและดีเอ็นเอต่าง ๆ ที่อยู่ในรถกระบะของนายไชยพล พร้อมกับคุ้ยกองขยะที่เผาหน้าบ้าน และเดินหาหลักฐานบริเวณป่าไผ่หลังบ้าน
ส่วนสาเหตุที่ตำรวจมาเก็บดีเอ็นเอในรถนั้น คาดว่าตำรวจคงคิดว่าสามีของตนลักพาตัวเด็กขึ้นรถ ซึ่งตนมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะรถคันนี้อยู่ในสายตาตนตลอด ไปไหนมาไหนตนก็จะไปด้วย มีเพียงช่วงเวลาเดียวที่ตนไม่เห็น คือช่วงที่สามีไปรับพระที่วัดถ้ำภูผาแอก ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เท่านั้น ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้ใช้เวลานาน พร้อมยอมรับว่าเสียความรู้สึกเล็กน้อยที่ตำรวจมาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า