ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก ครูจอมทรัพย์ พร้อมพวก
สร้างพยานหลักฐานเท็จ เอาคนไม่ผิดมาติดคุก หวังเรียกเงินเยียวยา
ด้านครูอ๋อง ถูกตัดสินจำคุกอีกคน
ภาพจาก สํานักข่าวไทย
วันที่ 24 มิถุนายน 2563 แนวหน้า รายงานว่า ศาลจังหวัดนครพนม ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
ในคดีของครูจอมทรัพย์ พร้อมพวก ที่ร่วมกันสร้างหลักฐานเท็จ
โดยจำเลยมีทั้งหมด 8 คน คือ
1. นางจอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือ แสนเมืองโคตร
2. นายสุริยา นวนเจริญ หรือ ครูอ๋อง
3. นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์
4. นางรจนา จันทรัตน์
5. นายเสน่ห์ สุพรรณ
6. น.ส.วาสนา เพ็ชรทอง
7. นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร
8. นางทองเรศ วงศ์ศรีชา
2. นายสุริยา นวนเจริญ หรือ ครูอ๋อง
3. นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์
4. นางรจนา จันทรัตน์
5. นายเสน่ห์ สุพรรณ
6. น.ส.วาสนา เพ็ชรทอง
7. นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร
8. นางทองเรศ วงศ์ศรีชา
ภาพจาก สํานักข่าวไทย
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาจำคุก ดังนี้
1. นางจอมทรัพย์ ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน
2. นายสุริยา นวนเจริญ หรือ ครูอ๋อง ถูกพิพากษาจำคุก 1 ปี 3 เดือน
3. นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี
4. นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร ถูกพิพากษาจำคุก 1 เดือน 10 วัน
5. นางทองเรศ วงศ์ศรีชา ถูกพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน
ด้าน นางรจนา จันทรัตน์, นายเสน่ห์ สุพรรณ และ น.ส.วาสนา เพ็ชรทอง มีคำสั่งยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
ย้อนมหากาพย์ครูจอมทรัพย์ ใช้ช่องว่างของกฎหมาย ต่อสู้หวังได้เงินเยียวยา
ทั้งนี้ ครูจอมทรัพย์ เป็นจำเลยในข้อหาขับรถชนนายเหลือ พ่อบำรุง เมื่อปี พ.ศ. 2548 มีการต่อสู้กันถึง 3 ศาล และครูจอมทรัพย์ถูกพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน แต่ติดคุกจริงเพียง 1 ปี 6 เดือน ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อออกจากคุก ครูจอมทรัพย์ก็ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม และวอนให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ ครูจอมทรัพย์ ยืนยันว่า ระหว่างที่เกิดเหตุนั้น ตนอยู่บ้านที่ จ.สกลนคร และกล่าวหานายสับ วาปี ว่าในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกครูจอมทรัพย์ นายสับเป็นคนจ่ายเงินแทน และบอกว่านายสับเป็นคนขับรถชนแล้วหลบหนี พร้อมกับที่นายสับมาสารภาพกับครูจอมทรัพย์เองว่าเป็นคนขับรถชน
จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ เนื่องจากมีมูลมากพอ และสู้กันต่อในศาลอีกที การฟื้นคดีนี้ ตำรวจที่ทำคดีก็ตกเป็นจำเลยของสังคมทันที
เมื่อออกจากคุก ครูจอมทรัพย์ก็ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม และวอนให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ ครูจอมทรัพย์ ยืนยันว่า ระหว่างที่เกิดเหตุนั้น ตนอยู่บ้านที่ จ.สกลนคร และกล่าวหานายสับ วาปี ว่าในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกครูจอมทรัพย์ นายสับเป็นคนจ่ายเงินแทน และบอกว่านายสับเป็นคนขับรถชนแล้วหลบหนี พร้อมกับที่นายสับมาสารภาพกับครูจอมทรัพย์เองว่าเป็นคนขับรถชน
จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ เนื่องจากมีมูลมากพอ และสู้กันต่อในศาลอีกที การฟื้นคดีนี้ ตำรวจที่ทำคดีก็ตกเป็นจำเลยของสังคมทันที
ภาพจาก สํานักข่าวไทย
ด้าน พ.ต.ท. ทงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง พนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร ยืนยันว่า ตนทำคดีนี้ด้วยความรอบคอบ ไม่มีแอบแฝง ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ กอปรกับ พล.ต.อ. ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น มองว่าคดีนี้มีความผิดปกติหลายอย่าง มีผู้ร่วมขบวนการ 6 คน ที่เป็นทั้งข้าราชการ อดีตข้าราชการ พลเรือน แบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อเรียกร้องหวังได้เงินเยียวยา
ตำรวจพบว่า ขบวนการนี้เริ่มทำขึ้นหลังจากครูจอมทรัพย์สบช่องตอนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ซึ่งต่อมา ศาลฎีกาได้ยกคำร้องของครูจอมทรัพย์ หลังมองว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ไม่น่าเชื่อถือ และแจ้งความดำเนินคดีกับขบวนการครูจอมทรัพย์
นายสับเริ่มเข้ามอบตัวกับตำรวจ และสารภาพความจริงว่า ตนไม่ได้ขับรถชนคนตาย แต่ครูอ๋องมาติดต่อจ่ายเงิน 4 แสนบาท แลกกับการติดคุกแทน จนกระทั่งศาลจังหวัดนครพนม อนุมัติหมายจับครูจอมทรัพย์อีกครั้ง และนำมาสู่การตัดสินคดีนี้ในที่สุด
ตำรวจพบว่า ขบวนการนี้เริ่มทำขึ้นหลังจากครูจอมทรัพย์สบช่องตอนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ซึ่งต่อมา ศาลฎีกาได้ยกคำร้องของครูจอมทรัพย์ หลังมองว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ไม่น่าเชื่อถือ และแจ้งความดำเนินคดีกับขบวนการครูจอมทรัพย์
นายสับเริ่มเข้ามอบตัวกับตำรวจ และสารภาพความจริงว่า ตนไม่ได้ขับรถชนคนตาย แต่ครูอ๋องมาติดต่อจ่ายเงิน 4 แสนบาท แลกกับการติดคุกแทน จนกระทั่งศาลจังหวัดนครพนม อนุมัติหมายจับครูจอมทรัพย์อีกครั้ง และนำมาสู่การตัดสินคดีนี้ในที่สุด
