x close

น้องสาวเสี่ยราดหน้า แฉกลับ บริษัทเป็นของพ่อแม่ ปมทั้งหมดเกิดเพราะอยากได้หุ้น 5% คืน

          น้องสาวเสี่ยราดหน้าพันล้าน สุดทน ขอชี้แจงต้นเหตุการฟ้องร้อง 10 กว่าคดี เล่นงานน้อง เพียงเพราะจะทวงหุ้น 5% ที่เคยให้พี่น้องผู้หญิงคืน แฉอีกฝ่ายไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

          วันนี้ (10 สิงหาคม 2563) ครอบครัวศรีสกุลภิญโญ นำโดย นางกรนิภา แซ่เตีย (พี่สาวคนโต), นางนุจรีย์ ศรีสกุลภิญโญ (พี่น้องคนที่ 4) และนางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง) ร่วมแถลงชี้แจงกรณีพิพาทในครอบครัวที่ "เสี่ยราดหน้าพันล้าน" ร้องสื่อเรื่องโดนน้อง ๆ ฮุบบริษัท รวมถึงโดนกระทำอื่น ๆ อาทิ โดนคดีความฟ้องร้องตัวเองและลูก ๆ ถูกไล่ออก จนไม่มีเงิน เลยต้องมาขายราดหน้าประทังชีวิต และมีคดีฟ้องร้องกันถึง 13 คดี

          3 พี่น้องจึงขอเปิดเผยความจริงเพื่อขอความเป็นธรรม แจงต้นเหตุฟ้องร้อง เพราะเสี่ยราดหน้าพันล้านจะทวงหุ้น 5% ของตัวเองคืน จากทั้งหมดที่ตัวเองมีถึง 25% ทั้งที่พี่น้องฝ่ายหญิง 3 คนก็ช่วยทำงานมาด้วยกันตั้งแต่แรก แต่ไม่เคยได้รับแบ่งหุ้นเลย มีสถานะแค่พนักงานเงินเดือนเท่านั้น

          นางนุจรีย์ กล่าวว่า บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เริ่มต้นจากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสร้างมา และลงทุนให้ลูก ๆ ทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน ก่อนจะขยายธุรกิจในการทำเฟอร์นิเจอร์ชุดครัว และพี่น้องทั้งหมดช่วยกันบริหาร ซึ่งได้เงินทุนจากพ่อแม่ โดยแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน ไม่ใช่เป็นบริษัทที่นายสมชาย (เสี่ยราดหน้า พันล้าน) เป็นคนสร้างมาคนเดียวอย่างที่สื่อออกไป

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

          ส่วนปัญหาครอบครัว กรณีนายสมชายที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ขอแจงว่า เดิมทีนายสมชายถือหุ้นอยู่ในบริษัท 25% เท่ากันกับพี่น้องผู้ชายอีก 4 คน ได้แก่ นายปรีชา, นายนิพนธ์, นายธนัฏฐ์โชค และนายพัฒน์ปกรณ์ ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นธุรกิจแบบครอบครัวที่บริหารงานร่วมกันตามความถนัดแต่ละสายงาน และมีการปันผลกำไรตามผลประกอบการ

          ที่นายสมชายฟ้องเรื่องหุ้นจนใหญ่โตเป็นข่าว จริง ๆ แล้วคือ หุ้นแค่ 5% ของโควตานายสมชาย เพราะเดิมสมัยก่อนพี่น้องผู้ชายได้แบ่งหุ้นบริษัทครั้งแรก คนละ 25% และเมื่อกิจการบริษัทเจริญก้าวหน้า พี่น้องฝ่ายชายจึงเสนอว่าควรสละแบ่งหุ้นให้พี่น้องฝ่ายหญิงบ้างเพื่อความแฟร์ ในฐานะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาพี่น้องทุกคนก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยสร้างบริษัทมาด้วยกัน พี่น้องฝ่ายชาย 4 คน จึงทำสัญญาสละหุ้นกันออกมาคนละ 5% (รวมเป็นหุ้น 20% ให้พี่น้องผู้หญิง 3 คนจัดสรรกันเอง) ทำให้ทุกวันนี้นายสมชายยังเหลือหุ้นอีก 20% แต่ต้นเหตุของการฟ้องร้องคือ นายสมชายจะทวงหุ้น 5% ดังกล่าวคืน ในขณะที่พี่น้องผู้ชายอีก 3 คน ให้พี่น้องผู้หญิงแบบเต็มใจสุด ๆ

          "ขอถามทุกคนจริง ๆ เป็นผู้หญิงลูกคนจีน ที่ช่วยทำงานให้ตระกูลมาทั้งชีวิตหลายสิบปี กับหุ้นแค่ 5% ให้พี่น้องผู้หญิงไม่ได้เหรอ เพียงเพราะเป็นเพศหญิง เราผิดใช่ไหม"

          "ต่อให้แบ่งหุ้น 5% ตอนนี้ นายสมชายแค่คนเดียวก็ยังมีหุ้นอีก 20% ซึ่งลองเทียบกับพี่น้องผู้หญิงเรา 3 คน มีหุ้นรวม 20%" นางนุจรีย์ กล่าว

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

          ปัจจุบัน ฝั่งนายสมชายยังถือหุ้นในบริษัท เป็นสัดส่วน 20% โดยนายสมชายถือหุ้น 40,000 หุ้น (และนำแบ่งให้ภรรยา และบุตร ถือหุ้นในสัดส่วน 8,000 หุ้น ทุกคนเท่า ๆ กัน รวมเป็น 80,000 หุ้น) และยังคงได้รับปันผลทุกคน

          นางสาวณัฐปภัสร์ (น้องคนสุดท้อง) ตำแหน่งปัจจุบันในบริษัทเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวกระทบต่อภาพลักษณ์บริษัทเป็นอย่างมาก ที่นายสมชายอ้างว่าทางบริษัทไล่เขาออก และไล่ลูก ๆ ของเขาออกจากบริษัท ซึ่งความเป็นจริงแล้ว บริษัทมีการปรับองค์กรให้เป็นไปตามเกณฑ์แบบสากล โดยทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์ 60 ปี ก็ต้องเกษียณ และที่ได้มีการให้ข่าวว่าไล่ลูก ๆ ของนายสมชายออกนั้น ก็เป็นไปตามกฎของบริษัท ซึ่งถ้าไม่เข้ามาทำงานเลย จะกินเงินเดือนอย่างเดียวทางฝ่ายบุคคลก็รับไม่ได้ ซึ่งเราทำตามเป็นขั้นตอนอยู่แล้ว

          ทั้งนี้ ที่นายสมชายได้อ้างว่าเรื่องเงินเยียวยาที่ทางบริษัทไม่ยอมจ่าย จริง ๆ แล้วเป็นคำตัดสินคดีจากศาลแรงงานที่ให้ชดเชยลูกของนายสมชาย 1.3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมให้นานแล้ว แต่ต้องรอนำไปมอบให้ที่ศาลตามวันที่ศาลกำหนดไว้ (ในเดือนสิงหาคมนี้)

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

          ส่วนเรื่องที่นายสมชายอ้างเรื่องเงินเยียวยาหลายร้อยล้านนั้น ความจริงคือ ขณะเกิดคดี ทางศาลขอให้พี่น้องไปไกล่เกลี่ยกันดีกว่ามาฟ้องร้องความให้เสียเวลา นายสมชายจึงพูดว่าจะขอเงินตัวเลข 300 ล้านบาทขึ้นมา แล้วตัวเองจะเลิกฟ้อง ซึ่งไม่ได้มีใครรับปากยอมรับเรื่องดังกล่าวหรือตัวเลขดังกล่าวเลย ศาลก็ไม่เคยตัดสินหรือบังคับสั่งให้จ่ายเงินขนาดนั้นแต่อย่างใด เป็นความต้องการของนายสมชายฝ่ายเดียว

          และคดีความที่อ้างว่าชนะนั้น จริง ๆ แล้วเป็นแค่บางคดีในระดับศาลชั้นต้น ซึ่งตอนนี้คดีเข้ามาอยู่ในขั้นของศาลอุทธรณ์ต่อไป

          น้องคนสุดท้องยังกล่าวถึงคดีความที่นายสมชายอ้างว่าทางพี่น้องฟ้องนายสมชาย 13 คดี ว่า ความเป็นจริงแล้ว นายสมชายเป็นคนฟ้องคดีอาญาเกือบทั้งหมด 11 คดี ฟ้องทางฝั่งพี่น้องที่ทำงานอยู่ พอทางเราชนะคดี เราจึงฟ้องกลับ 2 คดี กับโจทก์ทั้ง 7 ซึ่งก็มีลูกและภรรยาเขาอยู่ด้วย และนายสมชาย ซึ่งที่เราฟ้องกลับ 2 คดี ก็คือคดีฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ

          นางสาวณัฐปภัสร์ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน นายสมชายและครอบครัว ยังคงอาศัยอยู่กับบ้านของครอบครัวหลังใหญ่ ไม่ได้ลำบากอย่างที่นายสมชายกล่าวอ้างแต่อย่างใด และที่นายสมชายบอกว่าหมดเนื้อหมดตัวในการสู้คดี ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งที่ผ่านมานายสมชายยังมีการลงทุนซื้อที่ดินริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 และลงทุนสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อทำศูนย์อาหาร สื่อมวลชนและสังคมลองไปสำรวจเองได้

ดราม่าเสี่ยราดหน้า

          และในกรณีที่ว่านายสมชายเป็นคนส่งเสียให้น้อง ๆ ได้เรียนหนังสือจบจากเมืองนอกมานั้น จริง ๆ แล้วนายสมชายไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวให้น้อง ๆ ไปเรียนต่อ แต่เป็นเงินกงสีของบริษัทที่พี่ ๆ ทุกคนต่างเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้น้อง ๆ ไปเรียนต่อ กาลต่อมาเมื่อนายสมชายมีครอบครัว มีลูก ๆ พี่น้องในตระกูลทั้ง 7 คนที่ทำบริษัทก็สนับสนุนเช่นกัน ด้วยการให้บริษัทให้ทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อเช่นกัน ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวในบรรดาพี่น้อง 7 คน ที่ได้สิทธิพิเศษนี้มากที่สุด

          นางสาวณัฐปภัสร์ กล่าวสรุปตอนท้ายว่า ในครอบครัวทุกคนพร้อมเจรจากับนายสมชาย ว่าสิ่งที่นายสมชายทำไปมันไม่เป็นผลดีต่อครอบครัว และบริษัทที่ทุกคนได้สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะน้ำพักน้ำแรงของคุณพ่อคุณแม่ ที่เริ่มต้นมาจากศูนย์ และบริษัทที่พี่น้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ไม่อยากให้บริษัทต้องมีปัญหาต่อไปในอนาคต มันเป็นสิ่งที่น่าอับอายมากในสังคม ที่พี่น้องต้องมาทะเลาะกันเองในเรื่องมรดก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
น้องสาวเสี่ยราดหน้า แฉกลับ บริษัทเป็นของพ่อแม่ ปมทั้งหมดเกิดเพราะอยากได้หุ้น 5% คืน อัปเดตล่าสุด 10 สิงหาคม 2563 เวลา 17:47:10 47,802 อ่าน
TOP