หนุ่ย พงศ์สุข สุดงงระบบราชการแบบไทย สักแต่ทำ ลูกเข้าเรียนมาแล้ว 3 ปี เพิ่งส่งหนังสือแจ้งการส่งเด็กเข้าเรียนมาให้ ซ้ำยังระบุในเอกสารว่า ตรวจสอบแล้ว วอนช่วยพัฒนาการทำงาน
วันที่ 28 ตุลาคม 2563 หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรและผู้บริหารแบไต๋ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการทำงานของระบบราชการไทยว่า ลูกสาวของตนได้รับจดหมายจากทางราชการครั้งแรกหลังจากแจ้งเกิดไปเมื่อ 6 ปีก่อน ว่าถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าศึกษาแล้วตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พร้อมแนะนำโรงเรียนใกล้บ้านมาให้สมัคร แต่ที่น่าแปลกใจคือจดหมายออกมาตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม เพิ่งถึงวันที่ 27 ตุลาคม และระบุว่า หากผู้ปกครองไม่เอาลูกเข้าโรงเรียนจะมีโทษปรับตามกฎหมายที่ 1,000 บาท
ซึ่งหลังจากอ่านเสร็จแล้วก็ถอนหายใจยาว ๆ พร้อมขำการทำงานของสำนักงานเขต และระบบงานราชการแบบไทย ๆ เพราะลูกของตนนั้น "เข้าเรียนหนังสือมา 3 ปีแล้ว" ที่สำคัญในเอกสารดังกล่าวยังระบุว่า "ตรวจสอบแล้วพบว่า..." เสียด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
นอกจากนี้เมื่อ 4 ปีก่อน ด.ญ.พีรดา ลูกสาวของตนอีกคนก็เคยได้รับจดหมายรูปฟอร์มเดียวกันนี้ ที่โรเนียวต่อ ๆ กันมาปิดเบี้ยวอย่างไร 4 ปีผ่านไปก็ยังบิดเบี้ยวอย่างนั้น ซึ่งในระบบฐานข้อมูลของโลกนี้ มันมีวิธีตั้งมากมายที่ราชการจะรู้ได้ ว่าประชาชนของเขาเข้าเรียนไปแล้วหรือยัง จากรายชื่อจากสถานศึกษาที่ลงทะเบียนสถานประกอบการไว้ในพื้นที่ ซึ่งตรวจสอบได้ง่ายมาก
ทุกที่ต้องรายงานแก่กระทรวงศึกษาธิการ (มีหลักฐานเป็นอีเมลจากโรงเรียนประกอบ) หรือจากสถานะแหล่งที่อยู่อาศัย สถานะการศึกษา อาชีพ การงาน การเงินของพ่อแม่ (ซึ่งก็ยื่นเอกสารกับราชการและสำนักงานเขตทุกครั้งที่ไปติดต่อ) กรมการปกครองออกคำสั่งมา 2 ปีแล้วเรื่องไม่ให้ราชการรับสำเนาบัตร เพราะสามารถใช้อิเลกทรอนิกส์ได้ทั้งหมดแล้ว แต่ท้ายจดหมายนี้ก็ยังเรียกเก็บสำเนาต่าง ๆ มากมายจนตาลาย
และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปประเทศของเราก็จะเป็นประเทศที่เอะอะ ๆ ก็ลงทะเบียน ลงทะเบียน ลงทะเบียน อยู่ตลอดเวลา เพราะราชการเปิดให้ลงทะเบียน ซื้อเซิร์ฟเวอร์มาเก็บ ซื้อซอฟต์แวร์มาใช้ แต่ไม่เคยบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งเป็นการทำงานแบบเดิม ทำตาม ๆ กันมาแบบรุ่นต่อรุ่น ไร้ซึ่งจินตนาการ ไม่เคยมี Design Thinking คุณไม่เคยคิดถึง Customer Journey ของพวกเราและที่สำคัญคือ "คุณไม่เคยแคร์งบประมาณที่ใช้และสิ่งแวดล้อมที่ต้องเสียไปจากการออกกระดาษ ติดซองใส่แสตมป์และขนส่งไปยังทุกหลังคาเรือน" ประเทศเราเจริญยากการทำงานย่ำอยู่กับที่แบบนี้
ทั้งนี้ ตนเองยินดีจ่ายภาษีตามหน้าที่ และไม่ทวงบุญคุณภาษี แต่ช่วยพัฒนาบริการตามหน้าที่ของตนเองด้วย เพราะในฐานะมนุษย์ก็ต่างมีหน้าที่ต้องพัฒนาตัวเองกันในทุกวัน จึงอยากให้ช่วย ๆ กันทำให้ "แบรนด์ราชการ" กว่าเดิม
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
วันที่ 28 ตุลาคม 2563 หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ พิธีกรและผู้บริหารแบไต๋ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการทำงานของระบบราชการไทยว่า ลูกสาวของตนได้รับจดหมายจากทางราชการครั้งแรกหลังจากแจ้งเกิดไปเมื่อ 6 ปีก่อน ว่าถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าศึกษาแล้วตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พร้อมแนะนำโรงเรียนใกล้บ้านมาให้สมัคร แต่ที่น่าแปลกใจคือจดหมายออกมาตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม เพิ่งถึงวันที่ 27 ตุลาคม และระบุว่า หากผู้ปกครองไม่เอาลูกเข้าโรงเรียนจะมีโทษปรับตามกฎหมายที่ 1,000 บาท
ซึ่งหลังจากอ่านเสร็จแล้วก็ถอนหายใจยาว ๆ พร้อมขำการทำงานของสำนักงานเขต และระบบงานราชการแบบไทย ๆ เพราะลูกของตนนั้น "เข้าเรียนหนังสือมา 3 ปีแล้ว" ที่สำคัญในเอกสารดังกล่าวยังระบุว่า "ตรวจสอบแล้วพบว่า..." เสียด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
นอกจากนี้เมื่อ 4 ปีก่อน ด.ญ.พีรดา ลูกสาวของตนอีกคนก็เคยได้รับจดหมายรูปฟอร์มเดียวกันนี้ ที่โรเนียวต่อ ๆ กันมาปิดเบี้ยวอย่างไร 4 ปีผ่านไปก็ยังบิดเบี้ยวอย่างนั้น ซึ่งในระบบฐานข้อมูลของโลกนี้ มันมีวิธีตั้งมากมายที่ราชการจะรู้ได้ ว่าประชาชนของเขาเข้าเรียนไปแล้วหรือยัง จากรายชื่อจากสถานศึกษาที่ลงทะเบียนสถานประกอบการไว้ในพื้นที่ ซึ่งตรวจสอบได้ง่ายมาก
ทุกที่ต้องรายงานแก่กระทรวงศึกษาธิการ (มีหลักฐานเป็นอีเมลจากโรงเรียนประกอบ) หรือจากสถานะแหล่งที่อยู่อาศัย สถานะการศึกษา อาชีพ การงาน การเงินของพ่อแม่ (ซึ่งก็ยื่นเอกสารกับราชการและสำนักงานเขตทุกครั้งที่ไปติดต่อ) กรมการปกครองออกคำสั่งมา 2 ปีแล้วเรื่องไม่ให้ราชการรับสำเนาบัตร เพราะสามารถใช้อิเลกทรอนิกส์ได้ทั้งหมดแล้ว แต่ท้ายจดหมายนี้ก็ยังเรียกเก็บสำเนาต่าง ๆ มากมายจนตาลาย
และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปประเทศของเราก็จะเป็นประเทศที่เอะอะ ๆ ก็ลงทะเบียน ลงทะเบียน ลงทะเบียน อยู่ตลอดเวลา เพราะราชการเปิดให้ลงทะเบียน ซื้อเซิร์ฟเวอร์มาเก็บ ซื้อซอฟต์แวร์มาใช้ แต่ไม่เคยบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งเป็นการทำงานแบบเดิม ทำตาม ๆ กันมาแบบรุ่นต่อรุ่น ไร้ซึ่งจินตนาการ ไม่เคยมี Design Thinking คุณไม่เคยคิดถึง Customer Journey ของพวกเราและที่สำคัญคือ "คุณไม่เคยแคร์งบประมาณที่ใช้และสิ่งแวดล้อมที่ต้องเสียไปจากการออกกระดาษ ติดซองใส่แสตมป์และขนส่งไปยังทุกหลังคาเรือน" ประเทศเราเจริญยากการทำงานย่ำอยู่กับที่แบบนี้
ทั้งนี้ ตนเองยินดีจ่ายภาษีตามหน้าที่ และไม่ทวงบุญคุณภาษี แต่ช่วยพัฒนาบริการตามหน้าที่ของตนเองด้วย เพราะในฐานะมนุษย์ก็ต่างมีหน้าที่ต้องพัฒนาตัวเองกันในทุกวัน จึงอยากให้ช่วย ๆ กันทำให้ "แบรนด์ราชการ" กว่าเดิม
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์