บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมเชิญสื่อมวลชนเข้าศึกษาดูงานธุรกิจธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ความคืบหน้าโครงการวังจันทร์วัลเลย์ และกิจการเพื่อสังคมกลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ระหว่างวันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2563 เพื่อเป็นการเปิดมุมมองและบอกเล่าเรื่องราวในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการต่าง ๆ พร้อมทิศทางการลงทุนและธุรกิจใหม่อันนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และศักยภาพการแข่งขันของประเทศต่อไป
สำหรับบรรยากาศในการจัดกิจกรรมครั้งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น ตลอดจนเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสายเศรษฐกิจได้ซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเป็นกันเองตลอดทั้งงาน ซึ่งจุดหมายแรก คือ “อุทยานการเรียนรู้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” ตั้งอยู่ภายในวัดลุ่มมหาชัยชุมพล โดดเด่นสะดุดตาด้วยอาคารก่ออิฐสีส้ม ด้านในเป็นโถงอาคารต้อนรับ พร้อมกับวิทยากรที่เริ่มต้นแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม พร้อมผายมือเชิญชวนทำความรู้จักกับส่วนต่าง ๆ ของอาคารนิทรรศการ
จากปากคำบอกเล่าของวิทยากรเจ้าถิ่น ทำให้เราทราบถึงที่มาของการดำเนินการก่อสร้างที่ได้รับการสนุนการจัดสร้างโดยกลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง อันประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในการกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย พร้อมสร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิให้เป็นที่ประจักษ์ นำความภาคภูมิใจแก่ชาวระยอง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอีกด้วย
ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการทั้งหมด 6 โซน ได้แก่ โหมโรงเจ้าตากสิน, อวสานสิ้นโยธยา, มุ่งบูรพาสรรหาไพร่พล, ประกาศตนองค์ราชันย์, สร้างเขตธ์ขันกรุงธนบุรี และถิ่นคนดีเมืองระยอง แต่ละโซนมีเทคนิคการนำเสนอข้อมูลอย่างทันสมัย ตลอดจนชมภาพยนตร์ 180 องศา ด้วยเทคนิค 4D พร้อมให้ผู้ชมได้จับอาวุธเสมือนว่าเป็นทหารในกองรบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
การมาเยือนสถานที่แห่งนี้ จึงเปรียบดั่งการท่องห้วงเวลาแห่งอดีต และพร้อมเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวและบุคคลสนใจทั่วไป เข้ามาร่วมรับรู้อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยที่น่ายกย่องและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยอุทยานการเรียนรู้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ วันละ 4 รอบ ๆ ละ 1 ชั่วโมง ได้แก่ รอบเวลา 09.30 น., 11.00 น., 13.00 น. และ 14.30 น. หยุดทุกวันจันทร์
วันที่สอง เป็นการพาชม “สถานบันวิทยสิริเมธี (VISTEC)” เพื่อรับฟังการบรรยายความคืบหน้าโครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ที่กลุ่มปตท. ต้องการผลักดันให้กลายเป็นเมืองวิจัยด้านวัตกรรมของประเทศ ในรูปแบบ Smart Natural Innovation Platform มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม รองรับการทำงาน การอยู่อาศัย ตอบสนองการใช้งานตามความต้องการ และรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตามนโยบายประเทศไทย 4.0
นางเบญญาภรณ์ จารุจินดา ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการวังจันทร์วัลเลย์ บนพื้นที่ 3,454 ไร่ ซึ่งแบ่งการพัฒนาเป็น 3 พื้นที่ คือ Education Zone, Innovation Zone และ Community Zone มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก โดยในส่วนพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวก ที่พักอาศัย และสันทนาการ (Community Zone) คาดว่าจะเปิดให้ผู้ประกอบการเข้ามาร่วมประมูลพัฒนาพื้นที่ในปีพ.ศ. 2564 และคาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ในปีพ.ศ. 2565
“ปัจจุบันโครงการวังจันทร์วัลเลย์ ได้รับการประกาศเป็นเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจและสังคม จึงนับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งในการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ อันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนจากการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม สอดรับกับการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ Smart City Thailand ต่อไปในอนาคต”
และอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือก้าวสำคัญของโครงการวังจันทร์วัลเลย์ คือ อาคารปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center : IOC) จุดยุทธศาสตร์สำคัญคอยทำหน้าที่ควบคุมระบบปฏิบัติการทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่โครงการ และนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ต่อยอดในเชิงธุรกิจ รวมถึงงานระบบเครือข่าย 5G ให้พร้อมสำหรับการทดลอง ทดสอบนวัตกรรมต่าง ๆ ตลอดจนพัฒนาพื้นที่ให้รองรับ UAV Regulatory Sandbox หรือการทดลอง ทดสอบโดรน และระบบที่เกี่ยวข้อง ให้สำหรับผู้สนใจทุกภาคส่วนเข้าร่วมพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรมต่าง ๆ โดยมีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563
ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งก้าวของโครงการวังจันทร์วัลเลย์ที่ขยับเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น อันมีหมุดหมายปลายทางเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้เข้ามาในพื้นที่เมืองอัจฉริยะแห่งนี้เป็นเม็ดเงินมากกว่า 30,000 ล้านบาท
“วันนี้ทางเรามีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งกับการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขาย LNG ของภูมิภาคอาเซียน (Regional LNG Hub) โดยตลอดช่วงปี 2563 ทาง ปตท. ก่อนหน้านี้มีการทดสอบกิจกรรมให้บริการต่าง ๆ มาเป็นระยะ เช่น ระบบบริการขนถ่าย LNG การให้บริการเติม LNG แก่เรือที่ใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงในการเดินเรือ และทำการตลาดเพื่อสื่อสารให้กับผู้ค้า LNG เข้ามาใช้บริการ และจะเริ่มทดลองค้าขาย LNG เชิงพาณิชย์ อย่างเต็มรูปแบบประมาณปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 เป็นต้นไป…”
สำหรับการยกระดับประเทศสู่ฐานะการเป็น Regional LNG Hub นั้น จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้มากมาย ทั้งทางเศรษฐกิจ อัตราการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น และช่วยลดภาระการส่งผ่านอัตราค่าบริการไปยังค่าไฟฟ้า รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมให้เติบโตมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
การเปิดบ้านของปตท. ในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้เราได้ทราบถึงความคืบหน้าของงานธุรกิจ LNG ความคืบหน้าโครงการวังจันทร์วัลเลย์ และกิจการเพื่อสังคมแล้ว ยังถือว่าเป็นการตอกย้ำและสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงานของของกลุ่มปตท. ตลอดจนความพร้อมที่จะนำพาประเทศก้าวไปสู่ความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อไปในอนาคตข้างหน้า และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้อีกมากมาย