ฐปณีย์ เอียดศรีไชย แจงดราม่าพาเด็กเล่าข่าว ไปม็อบ 17 พ.ย. จนเด็กหายใจไม่ออก ถูกส่ง รพ. ยันไม่ได้ส่งเด็กไปทำข่าว ไม่เคยหาประโยชน์จากเด็ก ๆ พร้อมเอาเรื่องคนที่ยังไม่หยุดแชร์ข้อความกล่าวหา ใส่ร้าย
จากกรณี น้องอ๋อง เด็กเล่าข่าว
ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการหายไม่ออก
หลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำผสมสารเคมีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณถนนสามเสน
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 จนมีคนออกมาตั้งคำถามว่า The Reporters
พาเด็กเข้ามาทำข่าวในที่ชุมนุมที่เป็นพื้นที่เสี่ยง
จะเป็นการละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (18 พฤศจิกายน 2563) ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporters ได้โพสต์ชี้แจงในเฟซบุ๊ก Thapanee Eadsrichai ว่า น้องเด็กเล่าข่าวทั้งสองคน ไม่ได้เป็นพนักงานในสังกัดของ The Reporters และไม่ได้เป็นผู้ชักนำ ผู้นำพา หรือส่งเด็กมาทำข่าวในการชุมนุม
ทุกครั้งที่ทั้งสองคนจะมาทำงานข่าว จะโทร. หาตนเพื่อแจ้งว่าจะมาทำข่าว และตนจะแจ้งเตือนทุกครั้ง หากการชุมนุมใดที่เสี่ยงต่ออันตราย จะไม่สนับสนุนให้ทั้งสองคนเข้ามาในพื้นที่ แต่เด็กทั้งสองมีความตั้งใจที่จะมาเรียนรู้การทำข่าว และบอกว่าจะระมัดระวังตัวให้ดีที่สุด ตนในฐานะผู้ใหญ่ในพื้นที่ จึงเห็นว่าการที่เด็กได้มาอยู่ใกล้ตัวเราจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะสามารถให้ความคุ้มครองเด็กได้ ที่สำคัญคือพวกเขาได้มาเรียนรู้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
จนมาทราบข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่น้องอิคคิว เด็กเล่าข่าวอีกคน ทานข้าวอยู่กับพี่ช่างภาพที่รู้จักในห้างสุพรีม น้องอ๋องได้ออกไปดูเหตุการณ์การชุมนุมที่ด้านนอกห้างสุพรีม และได้รับผลกระทบจากการฉีดน้ำผสมสารเคมี เบื้องต้นได้ล้างตา ล้างหน้าแล้วเข้ามาพักในห้างสุพรีม จนผ่านไป 30 นาที รู้สึกหายใจไม่ออก จึงไปขอความช่วยเหลือที่รถพยาบาล เพื่อนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา จนอาการปลอดภัยดี
ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า The Reporters ไม่ได้ส่งเด็กไปทำข่าว ไม่คิดจะแสวงหาประโยชน์จากเด็ก ที่พบมีการสัมภาษณ์ ก็เป็นการสอนการทำข่าว ให้เด็กได้เรียนรู้ ซึ่งถือเป็นการให้เด็กอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจากสถานการณ์การชุมนุม และคำนึงถึงหลักสิทธิเด็กเสมอ
อย่างไรก็ตาม
หลังจากฐปณีย์โพสต์ข้อความชี้แจงไปแล้ว ก็ยังมีผู้ไม่หวังดีคอยแชร์ข้อความใส่ร้าย ปลุกปั่น ซึ่งล่าสุด ฐปณีย์
ได้โพสต์เตือนว่า ตนเตรียมรวบรวมหลักฐานเพื่อจะดำเนินการทางกฎหมาย
ไม่ใช่แค่ปกป้องตัวเอง แต่ปกป้องน้อง ๆ เด็กเล่าข่าวด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Thapanee Eadsrichai
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Thapanee Eadsrichai