หญิงไต้หวันช่วยชีวิตเพื่อนที่ทำงาน ช่วยปั๊มหัวใจจนรอด แทนที่จะขอบคุณ กลับมาต่อว่า ทำหน้าอกเป็นรอยช้ำ แถมขู่จะฟ้องดำเนินคดี..
ภาพจาก Facebook Chu
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เว็บไซต์เอเชียวัน รายงานว่า หญิงไต้หวันรายหนึ่ง ชื่อสกุล จู เผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด เจอเพื่อนผู้หญิงในที่ทำงานหมดสติล้มไปต่อหน้า เธอพยายามช่วยสุดกำลัง ทั้งร่วมพาไปโรงพยาบาลและช่วยปั๊มหัวใจ จนในที่สุดก็สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเธอที่โดนต่อว่า และไม่มีแม้คำขอบคุณ
รายงานเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ในระหว่างทางที่กำลังพาหญิงรายนี้ไปโรงพยาบาล พบว่าเธอไม่หายใจ ขณะนั้นไม่มีเครื่อง AED (Automated External Defibrillator) หรือเครื่องช็อกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ แต่จูมีใบรับรองหลักสูตรการกู้ชีพขั้นพื้นฐานในทางการแพทย์ฉุกเฉิน เธอจึงตัดสินใจช่วยทำ CPR ให้
"ฉันกดหน้าอกเธอจนหมดแรง แต่ฉันก็ยังคงยืนกรานทำต่อไป เพราะต้องการช่วยชีวิตเธอ" จู เล่าเรื่องราวผ่านทางโพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และท้ายที่สุดความพยายามของจูก็เป็นผลสำเร็จ เพื่อนที่ทำงานของเธอไปถึงมือหมอที่โรงพยาบาล และรอดชีวิตปลอดภัยหลังจากนั้น
เวลาผ่านไปจนถึงเดือนตุลาคม จูได้รับข้อความจากเพื่อนผู้หญิงรายดังกล่าว มันไม่ใช่ข้อความขอบคุณ แต่ตรงกันข้าม เธอส่งมาต่อว่าเรื่องที่จูทำให้หน้าอกและบริเวณแขนของเธอมีรอยช้ำ เธอคนนั้นระบุว่า "เธอใช้แรงขนาดไหนกัน แผลของฉันถึงใหญ่มากขนาดนี้"
จู ตอบกลับไปว่า "คุณกำลังโทษว่าฉันออกแรงมากเกินไปในระหว่างการทำ CPR อย่างนั้นหรือ ?" พร้อมทั้งอธิบายว่า เธอโชคดีแล้วนะที่ไม่ได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงหักจากขั้นตอนนี้
รายงานเผยว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ในระหว่างทางที่กำลังพาหญิงรายนี้ไปโรงพยาบาล พบว่าเธอไม่หายใจ ขณะนั้นไม่มีเครื่อง AED (Automated External Defibrillator) หรือเครื่องช็อกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ แต่จูมีใบรับรองหลักสูตรการกู้ชีพขั้นพื้นฐานในทางการแพทย์ฉุกเฉิน เธอจึงตัดสินใจช่วยทำ CPR ให้
"ฉันกดหน้าอกเธอจนหมดแรง แต่ฉันก็ยังคงยืนกรานทำต่อไป เพราะต้องการช่วยชีวิตเธอ" จู เล่าเรื่องราวผ่านทางโพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และท้ายที่สุดความพยายามของจูก็เป็นผลสำเร็จ เพื่อนที่ทำงานของเธอไปถึงมือหมอที่โรงพยาบาล และรอดชีวิตปลอดภัยหลังจากนั้น
เวลาผ่านไปจนถึงเดือนตุลาคม จูได้รับข้อความจากเพื่อนผู้หญิงรายดังกล่าว มันไม่ใช่ข้อความขอบคุณ แต่ตรงกันข้าม เธอส่งมาต่อว่าเรื่องที่จูทำให้หน้าอกและบริเวณแขนของเธอมีรอยช้ำ เธอคนนั้นระบุว่า "เธอใช้แรงขนาดไหนกัน แผลของฉันถึงใหญ่มากขนาดนี้"
จู ตอบกลับไปว่า "คุณกำลังโทษว่าฉันออกแรงมากเกินไปในระหว่างการทำ CPR อย่างนั้นหรือ ?" พร้อมทั้งอธิบายว่า เธอโชคดีแล้วนะที่ไม่ได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงหักจากขั้นตอนนี้
ภาพจาก Facebook Chu
ทั้งนี้ เพื่อนผู้หญิงรายนี้ ยังบอกกับจูว่า เธอเป็นโรคเบาหวานเธอจึงกังวลเกี่ยวกับบาดแผลที่ติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดแขนขาได้ แต่จูตั้งคำถามกลับว่า ระหว่างชีวิตของเธอ กับรอยฟกช้ำเหล่านั้น สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน ?
ทว่า เธอคนนั้นไม่ยอม แถมยังบอกว่า "คุณกดหน้าอกฉันหนักเกินไป จนฉันรู้สึกมีปัญหาบริเวณหัวใจ ฉันจะไปพบแพทย์เพื่อพิสูจน์ว่าฉันได้รับบาดเจ็บระหว่างการทำ CPR" นอกจากนี้ เธอยังขู่จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับจูด้วย
ภายหลังจากโพสต์ของจูถูกแชร์ไปในโซเชียลมีเดียก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง หลายคนเข้าไปแสดงความคิดเห็น ระบุว่า การบาดเจ็บ เช่น รอยฟกช้ำ หรือซี่โครงหัก เป็นเรื่องปกติของการทำ CPR เนื่องจากจำเป็นต้องมีการกดหน้าอกอย่างหนักและรวดเร็ว
ทั้งนี้ ตามกฎหมายการแพทย์ฉุกเฉินของไต้หวัน ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือทำการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาวะที่คุกคามถึงชีวิต จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อการชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ
นอกจากนี้ ไต้หวันมีนโยบายให้ติดตั้งเครื่อง AED เพิ่มในที่สาธารณะ รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน เพื่อลดการเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย โดยชี้ว่า ผู้ป่วยหัวใจวายมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ หากถูกช็อกไฟฟ้าหรือได้รับ CPR ทันที แต่ถ้าปล่อยไป โอกาสรอดชีวิตอาจเป็นศูนย์
ทว่า เธอคนนั้นไม่ยอม แถมยังบอกว่า "คุณกดหน้าอกฉันหนักเกินไป จนฉันรู้สึกมีปัญหาบริเวณหัวใจ ฉันจะไปพบแพทย์เพื่อพิสูจน์ว่าฉันได้รับบาดเจ็บระหว่างการทำ CPR" นอกจากนี้ เธอยังขู่จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับจูด้วย
ภายหลังจากโพสต์ของจูถูกแชร์ไปในโซเชียลมีเดียก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง หลายคนเข้าไปแสดงความคิดเห็น ระบุว่า การบาดเจ็บ เช่น รอยฟกช้ำ หรือซี่โครงหัก เป็นเรื่องปกติของการทำ CPR เนื่องจากจำเป็นต้องมีการกดหน้าอกอย่างหนักและรวดเร็ว
ทั้งนี้ ตามกฎหมายการแพทย์ฉุกเฉินของไต้หวัน ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือทำการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาวะที่คุกคามถึงชีวิต จะไม่ต้องรับผิดชอบต่อการชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ
นอกจากนี้ ไต้หวันมีนโยบายให้ติดตั้งเครื่อง AED เพิ่มในที่สาธารณะ รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน เพื่อลดการเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย โดยชี้ว่า ผู้ป่วยหัวใจวายมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ หากถูกช็อกไฟฟ้าหรือได้รับ CPR ทันที แต่ถ้าปล่อยไป โอกาสรอดชีวิตอาจเป็นศูนย์
ภาพจาก Facebook Chu
