เปิดเรื่องราว เจ้าหญิงพม่าผู้เลอโฉม ชีวิตที่แสนผกผัน กับความหลังที่ถูกลืม

          ราชวงศ์อลองพญา หรือ ราชวงศ์คองบอง คือ ราชวงศ์สุดท้ายของพม่าที่ทายาทและเชื้อสายหลายคนยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบันและใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนธรรมดาทั่วไป โดยเมื่อเร็ว ๆ หนึ่งในทายาทผู้มีชื่อเสียงได้ล่วงลับไป ทำให้เรื่องราวชีวิตในอดีตของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมคนนี้ ถูกปลุกให้ฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง

          ยาดานา นัต-เหม่ (Yadana Nat-Mei) หรือ จูน โรส เบลลามี (June Rose Bellamy) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2475 ณ กรุงย่างกุ้ง สมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร
          บิดาของเธอคือชายชาวออสเตรเลีย ส่วนมารดาของเธอคือ เจ้าหญิงไทตินมะลัต พระธิดาในเจ้าชายลินปิน ผู้ซึ่งหลบลี้หนีภัย หลังจากที่พระเจ้าสีป่อ หรือพระเจ้าธีบอ ขึ้นครองราชบังลังก์

          เจ้าชายลินปินคือพระโอรสใน เจ้าชายกะนอง หรือ กะนอง มินธะ พระราชอนุชาของ พระเจ้ามินดง กษัตริย์พระองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์อลองพญา เจ้าชายกะนองเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรมของราชบังลังก์ แต่พระองค์ถูกปลงพระชนม์ หลังจากที่หนึ่งในพระโอรสของพระเจ้ามินดงก่อกบฏ

          สำหรับ ยาดานา นั้น เธอมีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ราบรื่นนัก เธอและมารดาต้องหลบหนีไปยังอินเดีย เพื่อหนีภัยสงครามโลกครั้งที่สอง และกลับมายังพม่าอีกครั้ง ตอนที่เธออายุ 14 ปี

          ยาดานามีรูปโฉมที่งดงาม เธอใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีพม่า และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมอยู่เสมอ เมื่อเติบโตเป็นสาว ยาดานาสมรสกับ ดร.มาริโอ ปอสติญญีโอเน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ต่อมา เธอย้ายตามสามีไปประจำการที่ฟิลิปปินส์ โดยยาดานาทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีโทรทัศน์ และจิตรกรวาดภาพ

          อย่างไรก็ตาม ยาดานาก็ได้หย่าร้างกับสามี หลังจากมีบุตรชายด้วยกัน 2 คน หลังจากนั้น เธอได้ย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ชีวิตของเธอเป็นไปอย่างสงบ สมถะ

          จนกระทั่งกว่า 2 ทศวรรษผ่านไป ยาดานาได้พบกับ นายพล เน วิน ผู้นำเผด็จการของพม่า เขาโน้มน้าวให้เธอกลับไปยังแผ่นดินเกิด และสมรสกับเธอในปี 2519 ทำให้เธอกลายเป็นภริยาคนที่สี่ของเขา และเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของพม่า

          การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น แม้ว่ายาดานาจะไม่เต็มใจก็ตาม โดยชีวิตคู่กับนายพลนั้นไร้ซึ่งความสุข ทุกข์ทนและเจ็บช้ำ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องหย่าและจบลงในระยะเวลาเพียง 5 เดือน
          มิเคเล บุตรชายของ ยาดานา เปิดเผยว่า เขาจำได้ว่าตอนนั้นเธอไม่ได้พูดอะไรมากนัก เธอกล่าวแค่ว่าจำเป็นต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนและครอบครัว เพราะไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องใช้ชีวิตไปตามโอกาสที่ได้รับ

          แต่เมื่อทุกสิ่งไม่เป็นไปดั่งใจปรารถนา เธอก็ย้อนกลับมายังอิตาลีอีกครั้งและใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ ตลอดระยะเวลาหลังจากนั้น เธอไม่ได้ย้อนกลับไปที่พม่าอีกเลย และใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นครูสอนทำอาหาร

ขอบคุณข้อมูลจาก Coconut Yagon, BBC Burmese, Voice of America