หนุ่มแชร์ประสบการณ์ทำงาน จากคนเคยติด F เรียนจบช้ากว่าเพื่อน เริ่มทำงานจากเงินเดือนไม่กี่หมื่น สู่เงินเดือนหลักแสนในวัย 30 ปี พร้อมแนะนำเคล็ดลับทำงานให้เจ้านายรัก แต่สุดท้ายลาออก เผยเหตุผลที่ทิ้งเงินเดือนสูงขนาดนั้น ทั้งที่ทุกคนใฝ่ฝัน
เจ้าของเรื่องแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว โดยเล่าว่า เขาไม่ใช่เด็กเรียน เรียนจบ ป.ตรี เกรดเฉลี่ย 2 กว่า แถมเคยสอบตก เคยติด F และเคยดรอปเรียนด้วย ทำให้เรียนจบช้ากว่าเพื่อน ๆ 1 ปี แต่นิสัยอย่างหนึ่งของเขาคือ เป็นคนชอบทำงาน และบ้างานมาก
ชีวิตการทำงานหลังเรียนจบ เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า เลิก 4 ทุ่ม ตามเวลาปิดห้าง งานนี้ฐานเงินเดือนต่ำ แต่ค่าคอมมิชชั่นสูง การแข่งขันก็สูงด้วยเช่นกัน เขาพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ไม่รู้อะไรก็ถาม ซึ่งทำให้เขามีตัวตนและอยู่ในสายตาของหัวหน้างาน เขาชอบอาสาช่วยหัวหน้าทำงานเอกสารต่าง ๆ พร้อมกับวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นไปด้วย
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ เรียนภาษา-สร้างคอนเน็กชั่น-ย้ายงาน-พัฒนาทักษะเขาเป็นคนไขว่คว้าโอกาสที่เข้ามา ตอนบริษัทเปิดสอบค่าภาษาอังกฤษ กับจีน เขาก็รับไว้ พยายามฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะจะได้รับค่าภาษาละ 3,000 บาท รวมเป็น 6,000 บาท ทุกวันเขาจะไปคุยกับล่ามจีนของห้าง เพื่อขอให้สอนคำศัพท์ให้วันละ 5 คำ ส่วนภาษาอังกฤษก็ฝึกเอง ต้องกล้าคุยกับชาวต่างชาติ ซึ่งในมือถือจะเปิดแอปฯ แปลภาษาไว้ตลอด ฝึกฝนต่อเนื่องจนสามารถสอบได้ มีเงินเดือนประมาณ 32,000 ปี ตอนอายุ 28 ปี
จุดสำคัญระหว่างที่ทำงาน เขาจะสร้างและรักษาทุกคอนเน็กชั่นไว้หมด เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การอวยพรปีใหม่ จะทำเป็นประจำ ไม่ว่าทางแชตหรือทางไหน เพื่อให้คนอื่นเห็นการมีอยู่ของเรา วันหนึ่งเขาจะนึกถึงเรา
กระทั่งวันหนึ่ง เขาโดนซื้อตัวไปเป็นหัวหน้าเซลส์ ตำแหน่งงานก้าวกระโดด ตอนสัมภาษณ์งานเขาให้เทคนิคว่า ให้เปรียบเทียบตัวเองเป็นสินค้า ขายตัวเองให้กับผู้สัมภาษณ์ การเตรียมตัวและความตั้งใจทำให้ได้งานนี้ เขากลายเป็นหัวหน้าที่มีลูกน้อง 15 คนต้องดูแล ต้องปรับตัวเยอะมาก เช่น การใช้ Excel ที่ทำไม่เป็น ต้องให้รุ่นพี่สอนในเวลางาน และกลับบ้านมาดูยูทูบเองถึงตี 2 ทำไปร้องไห้ไป รู้สึกว่ามันเครียดและกดดัน แถมยังต้องเข้าประชุมเกือบทุกวัน ซึ่งเขาทำงานอยู่ที่นี่ได้ปีกว่า
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับข้อมูล
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาย้ายงานกลับมาบริษัทแรก ตอนอายุ 30 ปี ตำแหน่งท้าทายมากเพราะเป็นผู้จัดการ ไม่เหมือนสมัยเป็นแค่พนักงานแล้ว มีลูกทีม 30 คน ตอนยื่นเรซูเม่ ระบุว่า ออกไปหาประสบการณ์ที่บริษัทอื่นเพื่อพัฒนาตนเองให้พร้อมกลับมาที่นี่ ซึ่งได้เงินเดือน 60,000-80,000 บาท เขาแนะนำว่าการทำงานต้องทำแบบ 360 องศา คิดอะไรให้มองรอบด้าน มีแผนสำรองและมีทางออกมากกว่า 1 ทางเสมอ
"เจ้านายและผู้บริหารจะชอบคนที่ไม่ทำงานไปวัน ๆ แต่ทำงานและสามารถวิเคราะห์ นำมาปรับใช้ เตรียมการต่าง ๆ ให้พร้อมอยู่เสมอ เวลาคุยกับเจ้านายให้คุยแบบ สินค้า A จะมาวันที่ B โดยทาง C แต่ถ้าไม่มา เรามีบริษัท D บริการผ่าน E ค่าใช้จ่าย F และจะทันใช้วันที่ G แน่นอน แบบนี้เจ้านายจะรักมาก"
เขายังไม่หยุดพัฒนาตนเอง
ยังสอบและเรียนออนไลน์ต่าง ๆ เพิ่มเติมตามที่บริษัทมีให้
เขาใส่ใจในรายละเอียดของงาน ถามทุกแผนกเพื่อจะได้เข้าใจเนื้องาน
มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทุก ๆ คน เพื่อให้เขาสนับสนุนเรา
ตอนนี้ยอดเงินเดือนสุทธิของเขาทะลุ 1 แสนบาทแล้ว แต่ชีวิตกลับไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิด เขาหมดเงินไปเยอะมากกับสิ่งที่เรียกว่า ภาษีสังคม ได้เยอะก็ออกเยอะ พร้อมชื่นชมคนได้รายได้น้อยกว่า แต่มีเงินเก็บมากกว่าเขาว่า พวกคุณเก่งมากจริง ๆ
เขาทำงานหนักมากจนร่างกายไม่ไหว
หมอวินิจฉัยว่ามีภาวะเครียดสะสม วิตกกังวล และรักความสมบูรณ์แบบ
แม้จะยังไม่ถึงขั้นโรคซึมเศร้า แต่ก็มีโอกาสพัฒนาได้
กระทั่งเขาตัดสินใจลาออกจากงานมาพักร่างกายอยู่ครึ่งปี
และเริ่มธุรกิจของตัวเองด้วยการเปิดร้านขนม
เขาบอกว่าถึงรายได้จะไม่เท่าเดิม แต่เขาก็คิดได้แล้วว่า "เงินคือสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่มันไม่จำเป็นว่าต้องมากเกินตัว
จนลืมรักตัวเอง"
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @BasSozeng
ขอบคุณข้อมูลจาก ทวิตเตอร์ @BasSozeng