กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา แถลงขอโทษ พร้อมชี้แจงสาเหตุ หลังถูกลูกหนี้ฟ้องร้อง ปมยึดทรัพย์ บ้านและที่ดินไปขายทอดตลาด มูลค่ากว่า 3 ล้าน ทั้งที่ลูกหนี้ใช้หนี้คืนหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 เพจเฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง : Ministry of Finance News Station รายงานบทสัมภาษณ์ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. เปิดเผยว่ถึงกรณีนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยพาผู้กู้ยืมยื่นฟ้องคดีแพ่งกับกองทุนและสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจสืบทรัพย์บังคับคดี เพื่อเรียกคืนที่ดินเเละบ้านพร้อมค่าเสียหายประมาณ 3,894,000 บาท หลังถูกบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและบ้าน ทั้งที่ชำระหนี้คืนหมดแล้วนั้น
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า กองทุนได้ดำเนินคดีกับผู้กู้รายนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ.7287/2551 ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ผู้กู้ยืมชำระหนี้ให้กับกองทุน แต่เนื่องจากผู้กู้ยืมมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา กองทุนจึงมีความจำเป็นต้องยึดทรัพย์บังคับคดีกับผู้กู้ยืม ซึ่งมีการบังคับคดีกับบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าว เพื่อประกาศขายทอดตลาด โดยคราวสุดท้ายกำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์ จำนวน 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 วันที่ 23 กรกฎาคม 2562 ครั้งที่ 2 วันที่ 13 สิงหาคม 2562 ครั้งที่ 3 วันที่ 3 กันยายน 2562 และครั้งที่ 4 วันที่ 24 กันยายน 2562
ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมได้ชำระหนี้ปิดบัญชีก่อนวันขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 1 กองทุนจึงมีคำสั่งให้สำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจ ประสานผู้กู้ยืมเพื่อดำเนินการถอนการยึดทรัพย์ก่อนวันขายทอดตลาด มีการนัดหมายแต่ไม่สามารถนัดหมายวันที่ตรงกันได้ จึงมีการทำหนังสือมอบอำนาจถอนการยึดทรัพย์ส่งให้ผู้กู้ยืมทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) พร้อมประสานงานกับผู้กู้ยืมทางไลน์ ซึ่งมีผู้รับไปรษณีย์ดังกล่าวจึงเข้าใจว่าผู้กู้ยืมได้รับเอกสารและไปดำเนินการยื่นคำแถลงขอถอนการยึดทรัพย์และการบังคับคดีแล้ว
ปรากฏว่ามีแนวทางให้ความช่วยเหลือหลายแนวทาง รวมทั้งการซื้อบ้านและที่ดินคืนจากผู้ซื้อทรัพย์ ซึ่งทางสำนักงานทนายความผู้รับมอบอำนาจยินดีที่จะร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ โดยขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างการประสานงานทุกฝ่ายเพื่อเจรจาหาทางออกที่ดีที่สุด
กองทุนขอยืนยันว่ากองทุนเป็นหน่วยงานของรัฐที่ให้โอกาสทางการศึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้กู้ยืมเงินที่ขาดโอกาสมาอย่างต่อเนื่อง กองทุนต้องขออภัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจะดูแลเรื่องนี้ให้ได้ข้อยุติร่วมกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง : Ministry of Finance News Station