William Heinecke ประธานไมเนอร์กรุ๊ป เศรษฐีอันดับ 23 ของไทย เจ้าพ่อโรงแรมและธุรกิจร้านอาหารชื่อดัง ส่ง จม. เปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แนะ 4 ข้อเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ฉีดวัคซีนให้คนทำงานท่องเที่ยวก่อน - เร่งหาวัคซีนจากเจ้าอื่น เพราะตอนนี้ช้าไปแล้ว
โดยที่ในจดหมายนั้น นาย William Heinecke ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณ พล.อ. ประยุทธ์ และรัฐบาลไทย ที่ไม่ใช่มาตรการล็อกดาวน์ อันจะส่งผลเสียอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ทว่า การที่โควิด 19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง นั่นก็ทำให้ธุรกิจโรงแรมและทัวร์ได้รับผลกระทบ หลายที่มีความจำเป็นต้องปิดตัวลงชั่วคราว และหลายแห่งต้องปิดตัวลงถาวร เขาจึงขอแนะนำให้คำแนะนำแก่รัฐบาลดังนี้
1. ให้ผู้ที่ทำงานด้านการท่องเที่ยวได้รับการฉีดวัคซีนในเฟส 1 : นายวิลเลียมมองว่า คนที่ทำงานในด้านการท่องเที่ยว ทั้งพนักงานสายการบิน นักบิน ไปจนถึงพนักงานโรงแรม ควรที่จะเป็นคนรับวัคซีนในเฟส 1 เนื่องจากพนักงานโรงแรมหลายคน ต้องทำงานใน ASQ ที่เปลี่ยนโรงแรมมาเป็นที่กักตัวคนติดโควิด 19 ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นหน้าด่านไม่แพ้กับแพทย์และพยาบาล ยกตัวอย่างเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้จัดหาวัคซีนได้กว่า 2 ล้านโดส ซึ่งเท่ากับ 20% ของจำนวนประชากรในประเทศ และคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีนคือคนที่ทำงานด้านการท่องเที่ยว
2. แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะพยายามจัดการและเร่งพัฒนาวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการ ทว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ควรที่จะเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด ไทม์ไลน์การได้รับวัคซีนในตอนนี้ของไทย ยังไม่เร็วและเพียงพอที่จะฉีดให้กับประชากรทั้งหมด นอกเหนือจากการจัดซื้อวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinovac แล้ว รัฐบาลควรพิจารณาจัดหาวัคซีนมาจากเจ้าอื่น และเร่งให้ อย. รับรองการนำเข้าวัคซีน รวมไปถึงการให้โรงพยาบาลเอกชนและโรงแรมที่เป็น ASQ สามารถจัดหาและฉีดวัคซีนให้กับลูกค้าของโรงแรมในช่วงที่มีการกักตัว
3. คนที่ได้รับวัคซีนแล้ว ควรที่จะสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว แน่นอนว่ามาตรการใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ยังต้องบังคับใช้ แต่คนที่เป็นผู้บริหารระดับสูง และนักลงทุนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ควรที่จะสามารถกลับเข้าประเทศและเดินทางได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีความจำเป็นต้องกักตัว 14 วัน
4. เปิดทางให้มีการใช้ พาสปอร์ตวัคซีน ถึงแม้ว่าในระดับสากลแล้วนั้น การถือพาสปอร์ตวัคซีน จะยังอยู่ในช่วงต้นของการพิจารณาในหลาย ๆ ประเทศ แต่ในตอนนี้ มีหลายประเทศเช่นกันที่กำลังวางแผนให้ผู้ที่เดินทาง ต้องมีหลักฐานการยืนยันว่าได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้น รัฐบาลไทยควรจะเริ่มต้นคิดพิจารณาวางแผนในเรื่องนี้ ซึ่งตนขอเสนอให้ใช้ภูเก็ตเป็นสถานที่ทดลองเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รับวัคซีนมาแล้วจากประเทศต้นทาง คนที่รับวัคซีนแล้วไม่มีความจำเป็นต้องกักตัว และหากสำเร็จ ก็ให้ใช้กับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอื่น ๆ เช่น เกาะสมุย พัทยา เป็นต้น
ภาพจาก minor
วันที่ 31 มกราคม 2564 ทวิตเตอร์ TonsTweetings ได้เผยให้เห็นถึงจดหมายเปิดผนึกของนาย William Heinecke ผู้บริหารของกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป เจ้าพ่อธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของไทย เศรษฐีอันดับ 23 จากการจัดอันดับของฟอร์ส ถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด 19 ในไทย เรื่องวัคซีน และการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในตอนนี้ ที่าได้รับผลกระทบกันอย่างหนักโดยที่ในจดหมายนั้น นาย William Heinecke ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวขอบคุณ พล.อ. ประยุทธ์ และรัฐบาลไทย ที่ไม่ใช่มาตรการล็อกดาวน์ อันจะส่งผลเสียอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย ทว่า การที่โควิด 19 กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง นั่นก็ทำให้ธุรกิจโรงแรมและทัวร์ได้รับผลกระทบ หลายที่มีความจำเป็นต้องปิดตัวลงชั่วคราว และหลายแห่งต้องปิดตัวลงถาวร เขาจึงขอแนะนำให้คำแนะนำแก่รัฐบาลดังนี้
1. ให้ผู้ที่ทำงานด้านการท่องเที่ยวได้รับการฉีดวัคซีนในเฟส 1 : นายวิลเลียมมองว่า คนที่ทำงานในด้านการท่องเที่ยว ทั้งพนักงานสายการบิน นักบิน ไปจนถึงพนักงานโรงแรม ควรที่จะเป็นคนรับวัคซีนในเฟส 1 เนื่องจากพนักงานโรงแรมหลายคน ต้องทำงานใน ASQ ที่เปลี่ยนโรงแรมมาเป็นที่กักตัวคนติดโควิด 19 ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นหน้าด่านไม่แพ้กับแพทย์และพยาบาล ยกตัวอย่างเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้จัดหาวัคซีนได้กว่า 2 ล้านโดส ซึ่งเท่ากับ 20% ของจำนวนประชากรในประเทศ และคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีนคือคนที่ทำงานด้านการท่องเที่ยว
2. แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะพยายามจัดการและเร่งพัฒนาวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการ ทว่าจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ควรที่จะเร่งฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด ไทม์ไลน์การได้รับวัคซีนในตอนนี้ของไทย ยังไม่เร็วและเพียงพอที่จะฉีดให้กับประชากรทั้งหมด นอกเหนือจากการจัดซื้อวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinovac แล้ว รัฐบาลควรพิจารณาจัดหาวัคซีนมาจากเจ้าอื่น และเร่งให้ อย. รับรองการนำเข้าวัคซีน รวมไปถึงการให้โรงพยาบาลเอกชนและโรงแรมที่เป็น ASQ สามารถจัดหาและฉีดวัคซีนให้กับลูกค้าของโรงแรมในช่วงที่มีการกักตัว
3. คนที่ได้รับวัคซีนแล้ว ควรที่จะสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว แน่นอนว่ามาตรการใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ยังต้องบังคับใช้ แต่คนที่เป็นผู้บริหารระดับสูง และนักลงทุนที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ควรที่จะสามารถกลับเข้าประเทศและเดินทางได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีความจำเป็นต้องกักตัว 14 วัน
4. เปิดทางให้มีการใช้ พาสปอร์ตวัคซีน ถึงแม้ว่าในระดับสากลแล้วนั้น การถือพาสปอร์ตวัคซีน จะยังอยู่ในช่วงต้นของการพิจารณาในหลาย ๆ ประเทศ แต่ในตอนนี้ มีหลายประเทศเช่นกันที่กำลังวางแผนให้ผู้ที่เดินทาง ต้องมีหลักฐานการยืนยันว่าได้รับการฉีดวัคซีน ดังนั้น รัฐบาลไทยควรจะเริ่มต้นคิดพิจารณาวางแผนในเรื่องนี้ ซึ่งตนขอเสนอให้ใช้ภูเก็ตเป็นสถานที่ทดลองเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รับวัคซีนมาแล้วจากประเทศต้นทาง คนที่รับวัคซีนแล้วไม่มีความจำเป็นต้องกักตัว และหากสำเร็จ ก็ให้ใช้กับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอื่น ๆ เช่น เกาะสมุย พัทยา เป็นต้น









