
เจ้าหญิงลาติฟา แห่งดูไบ ทรงส่งวิดีโอลับถึงพระสหาย ระบุถูกพระบิดากักขังไว้เป็นตัวประกัน หวั่นเกิดอันตราย ก่อนขาดการติดต่อไป ด้านพระสหายหวังเรียกร้อง UN เข้าช่วย
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 สำนักข่าว BBC รายงานว่า เจ้าหญิงลาติฟา อัลมักตูม พระธิดาของชีค โมฮัมเหม็ด บิน รอชิด อัลมักตูม ผู้ปกครองนครดูไบและรองประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทรงส่งวิดีโอลับถึงพระสหาย ซึ่งมีใจความระบุว่าพระองค์ถูกพระบิดาจับกุมไว้เป็นตัวประกัน จนเกิดความหวาดกลัวถึงอันตรายต่อชีวิตของพระองค์เอง
ภายในคลิปที่พระสหายนำมาเปิดเผยแก่ BBC Panorama เจ้าหญิงลาติฟาทรงเล่าว่าถูกหน่วยคอมมานโดจู่โจมขณะพยายามใช้เรือหลบหนีออกนอกประเทศ จากนั้นทรงถูกวางยาจนสลบ ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับมายังดูไบ
หลังจากนั้นเจ้าหญิงลาติฟายังคงส่งคลิปลับถึงพระสหายอีกเป็นระยะ ๆ โดยทรงเล่าว่าถูกพระบิดากักขังไว้ในวิลล่าแห่งหนึ่ง ขณะที่คลิปเหล่านี้ถูกบันทึกจากในห้องน้ำ เพราะเป็นเพียงจุดเดียวที่พระองค์สามารถล็อกประตูได้
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเจ้าหญิงทรงหยุดส่งวิดีโอลับและขาดการติดต่อไป ทำให้เหล่าพระสหายเป็นกังวลใจและกังวลถึงสวัสดิภาพของพระองค์ จึงตัดสินใจนำคลิปมาเปิดเผยเพื่อเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
การหลบหนีของเจ้าหญิงลาติฟา
เจ้าหญิงลาติฟาทรงพยายามหลบหนีออกจากประเทศครั้งแรกขณะมีพระชนมายุ 16 พรรษา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพระองค์ทรงพบกับนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสรายหนึ่งในปี 2554 จึงเริ่มมีการวางแผนหลบหนีระยะยาว โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ทีนา เจาเฮียไอเนน พระสหายสนิทที่เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้แบบกาโปเอย์ราแก่พระองค์
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เจ้าหญิงลาติฟาและพระสหายใช้เรือยางติดเจ็ตสกีหลบหนีออกมาผ่านทางน่านน้ำสากล โดยมีนักธุรกิจรายดังกล่าวรออยู่บนเรือยอชต์ที่มีธงชาติอเมริกัน อย่างไรก็ตาม 8 วันต่อมา ขณะเรืออยู่นอกชายฝั่งอินเดีย กลับมีหน่วยคอมมานโดบุกเข้ามาและใช้ระเบิดควันบังคับให้เจ้าหญิงออกจากที่ซ่อน และใช้อาวุธปืนข่มขู่เพื่อเข้าจับกุมคนทั้งหมด
หลังจากถูกวางยาจนหมดสติ เจ้าหญิงลาติฟาก็ถูกนำตัวกลับมากักขังที่ดูไบ และไม่มีใครทราบข่าวของพระองค์อีก ขณะที่พระสหายกับลูกเรือคนอื่น ๆ ได้รับการปล่อยตัวหลังถูกคุมขังที่ดูไบนาน 2 สัปดาห์
นานาชาติรับรู้สิ่งถึงที่เกิดขึ้น
ก่อนความพยายามหลบหนีในปี 2561 เจ้าหญิงลาติฟาทรงอัดวิดีโอไว้ล่วงหน้า ซึ่งถูกพระสหายนำมาโพสต์ลงยูทูบในเวลาต่อมา โดยในคลิปพระองค์ตรัสว่า หากทุกคนได้เห็นวิดีโอนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะหมายความว่าหากพระองค์ไม่ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ทรงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก ๆ
วิดีโอดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลขึ้นในระดับนานาชาติ และมีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวเจ้าหญิงลาติฟา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับความกดดันจากนานาชาติ มีการตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยและที่อยู่ของพระองค์ กระทั่งต่อมาทางกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เผยแพร่รูปของเจ้าหญิงลาติฟา ขณะร่วมโต๊ะอาหารกับ นางแมรี่ โรบินสัน อดีตข้างหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และอดีตประธานาธิบดีไอร์แลนด์
รายงานระบุว่า นางโรบินสันเดินทางไปยังนครดูไบเมื่อเดือนธันวาคม 2561 ตามคำร้องขอของเจ้าหญิงฮายา บินต์ อัล ฮุสเซน พระชายาของเจ้าผู้ปกครองดูไบ และเป็นพระมารดาเลี้ยงของเจ้าหญิลาติฟา และได้พบปะกันระหว่างมื้ออาหารกลางวัน ซึ่งในตอนนั้นเจ้าหญิงลาติฟาทรงมาร่วมโต๊ะด้วย
หลังการพบกันครั้งนั้น นางโรบินสันได้เรียกเจ้าหญิงลาติฟาว่าเป็นหญิงสาวผู้เอาแต่สร้างปัญหา แต่ในขณะนี้กลับบอกว่า ตนเองถูกครอบครัวของเจ้าหญิงลาติฟาใช้เล่ห์เลี่ยมในการพบกันครั้งนั้น และตอนนี้เธอก็ได้ร่วมร้องขอให้ทางดูไบออกมาเปิดเผยที่อยู่ และสภาพปัจจุบันของเจ้าหญิง
วิดีโอลับล่าสุด
หลังเจ้าหญิงลาติฟาถูกจับไปจากเรือยอชต์ได้ราว 1 ปี ในที่สุดก็มีคนช่วยให้ทรงติดต่อกับพระสหายได้ และมีการแอบส่งโทรศัพท์มือถือให้เจ้าหญิง จากนั้นก็ทรงบันทึกวิดีโอลับส่งมาถึงพระสหายเรื่อยมา รวมถึงวิดีโอลับที่ BBC Panorama ได้รับจาก ทีนา เจาเฮียไอเนน พระสหายเจ้าของหญิงลาติฟา
โดยในวิดีโอที่ถูกบันทึกถึงเมื่อหลายเดือนก่อนนี้ เจ้าหญิงลาติฟาทรงเผยรายละเอียด ถึงเรื่องที่พระองค์ทรงต่อสู้กับคนของหน่วยคอมมานโดที่พยายามจับพระองค์ไปจากเรือยอชต์ เล่าว่าทรงถูกฉีดยาสลบก่อนจะมีคนนำตัวพระองค์ขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวกลับไปยังดูไบ
พระองค์เพิ่งได้สติอีกครั้งเมื่ออยู่ในดูไบแล้ว จากนั้นทรงถูกกักตัวไว้ตามลำพังโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และกฎหมายใด ๆ ระหว่างที่ประทับอยู่ในวิลลาที่ประตูหน้าต่างล้วนถูกปิด และยังมีการจัดกำลังตำรวจมาเฝ้าเวรยาม
ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวถูกนำมาเปิดเผยด้วยการตัดสินใจที่ยากลำบากของพระสหาย ด้วยความเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเจ้าหญิง และคิดว่าพระองค์น่าจะต้องการให้คนอื่น ๆ ต่อสู้เพื่อพระองค์เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก บีบีซี
ภาพจาก MARWAN NAAMANI / AFP, Official #FreeLatifa Campaign






