เปิดคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ 3.5 หมื่นล้าน คดีจำนำข้าว พร้อมยกเลิกอายัดทรัพย์ ทั้งที่โดนขายทอดตลาดไปแล้ว 49.51 ล้านบาท
จากกรณีศาลปกครองกลาง มีคำสั่งพิพากษาให้ยกเลิกคำสั่งของกระทรวงการคลัง กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดเชยสินไหม 35,000 ล้านบาท ในโครงการรับจำนำข้าว อีกทั้งยังมีคำสั่งยกเลิกการขายทรัพย์สินทอดตลาด เนื่องจากกระทรวงการคลังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหาย และคำสั่งดังกล่าว ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น
อ่านข่าว :
ศาลพิพากษา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต้องชดใช้คดีจำนำข้าว ยกเลิกอายัดทรัพย์สิน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (2 เมษายน 2564) เว็บไซต์ศาลปกครอง ได้เผยคำวินิจฉัยศาลปกครองกลางเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง เนื่องจากเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจสั่งการเพียงผู้เดียว แต่เป็นการดำเนินการผ่านคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกทั้งยังมีส่วนราชการอื่น ๆ ที่ร่วมพิจารณาด้วย จึงยกเลิกคำสั่งอายัดทรัพย์สินและขายทอดตลาดไปด้วย
สำหรับสาระสำคัญคำวินิจฉัยของศาลปกครองสรุปได้ ดังนี้ - การดำเนินโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ต้องดำเนินการตามมติ ครม. และเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ลำพังอดีตนายกฯ ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้ และมีอำนาจหน้าที่เพียงการกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไป ระดับมหภาคของโครงการ ไม่ได้มีอำนาจในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจี จึงไม่อาจรับรู้ข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบติ
- เมื่อมีการทุจริต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง, มีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตควบคู่กับการใช้มาตรการทางปกครอง ตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว จึงถือได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อป้องกันยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว - กรณีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำหนังสือถึงรัฐบาล เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ไม่ใช่เป็นคำสั่งทางปกครองที่อดีตนายกฯ ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ
- ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด การกำหนดสัดส่วนให้อดีตนายกฯ รับผิด จึงมิได้เป็นไปตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 แต่อย่างใด ประกอบกับข้อ 8, 9, 10, 11 และ 17 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
อ่านฉบับเต็ม >>คลิก<<
ยกเลิกคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ระหว่างการลี้ภัย ไปใช้ชีวิตในต่างแดน ก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เมื่อปี 2560 (อ่านข่าว : จำคุก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 5 ปี ไม่รอลงอาญา คดีจำนำข้าว) และมีคำสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้เงินเป็นจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทในคดีนี้ ต่อมากระทรวงการคลังขอให้กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม บังคับทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยขออายัดเงินฝากในบัญชีธนาคาร หน่วยลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนต่าง ๆ ซึ่งมีการส่งเงินตามคำสั่งอายัด 7.9 ล้านบาท และการจ่ายเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ขอให้กรมบังคับคดียึดที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดอีกหลายรายการ รวมราคาประเมินทรัพย์สินเป็นเงิน 199.2 ล้านบาท
โดยปี 2562 จากข้อมูลกรมบังคับคดี
กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า มีการนำทรัพย์สินของอดีตนายกฯ หญิงไปขายทอดตลาดไปแล้ว 3 รายการ รวมเป็นเงิน 49.51 ล้านบาท และทรัพย์รายการที่เหลืออยู่ในขั้นตอนของการประกาศขายทอดตลาด
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยื่นเรื่องนี้ต้องศาลปกครองกลาง เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ทว่าเมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2562 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้โพสต์ระบายในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ระบุว่า นอกจากตัวเองจะต้องพลัดพรากจากลูก จากครอบครัวและจากพี่น้องประชาชนมาอยู่ต่างแดนแล้ว ยังต้องสูญเสียบ้าน ทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่หามาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ จนมาเป็นนายกฯ และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตอบแทนตน ตนสูญเสียบ้านและขณะนี้ทรัพย์สินของตนก็กำลังถูกกรมบังคับคดีประมูลชิ้นต่อชิ้น ตนใช้ข้อต่อสู้ทางกฎหมายทุกรูปแบบแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ ตนได้ร้องต่อศาลปกครองในคดีนี้เพื่อไม่ให้มีการยึดทรัพย์ แต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยึดอำนาจ และจนถึงปัจจุบันมาตรา 44 ก็ยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกคนจึงเร่งดำเนินการกับคดีตนโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย เพราะจริง ๆ แล้วคดีต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองที่ถึงที่สุดว่าตนแพ้คดีก่อน จึงจะสามารถนำทรัพย์เหล่านั้นมาขายทอดตลาดได้ เป็นการถูกกระทำที่ไม่เหมือนใครในประวัติศาสตร์
ขอบคุณข้อมูลจาก
กระทรวงยุติธรรม,
ศาลปกครอง