เพจหมอเผยเคสตัวอย่าง ผู้ป่วยมะเร็งกล้ามเนื้อขา ไม่รักษากับหมอปัจจุบัน อ้างหวังจะได้หมอทางเลือกช่วย ผ่านมา 3 ปี อาการทรุด พบมะเร็งลามเข้าปอด
วันที่ 27 เมษายน 2564 เพจเฟซบุ๊ก หมอโรคปอด และทางเดินหายใจ: หมอวินัย เปิดเผยเคสตำรวจวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง ที่ป่วยโรคมะเร็งที่ขา แต่ไม่ยอมรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน กลับไปให้หมอผีช่วยเป่าให้ และสุดท้ายเชื้อมะเร็งก็ลุกลามไปเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยคนดังกล่าวป่วยเป็นมะเร็งกล้ามเนื้อขา แต่พอรู้ตัวก็เกิดถอดใจ โดยไม่ยอมเข้ารับการรักษากับแพทย์ปัจจุบัน เพราะเข้าใจว่าหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ 3 ปี ประกอบกับภรรยาไม่พอใจ และรับไม่ได้ที่หมอพูดตรงไป คิดว่าถ้าอยู่ได้อีกแค่ 3 ปี จะขอกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือ และหันไปพึ่งหมอทางเลือก หรือหมอเป่า จนสุดท้ายเวลาผ่านมา 3 ปี จะไม่ตาย แต่มะเร็งแพร่กระจายหนักเข้าปอด
โดยตำรวจนายนี้ มีอาการทรุดลง เริ่มเหนื่อยมากขึ้น ผอมลงเพราะกินไม่ได้ ไอตลอดเวลา เริ่มไอเป็นเลือด ซึ่งผลการตรวจร่างกายเบื้องต้น พบภาวะทึบเสียงบริเวณปอดขวาครึ่งซีก เอกซเรย์ปอดพบปอดข้างขวาทึบเกินครึ่ง CT Scan ปอด พบก้อนกระจายทั่วปอดด้านขวา และลุกลามเข้ามาในหลอดลม และเมื่อส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อ พบภาวะลักษณะก้อนแดงกระจายในหลอดลม มีเลือดออกง่าย หลังจากการตัดชิ้นเนื้อ สรุปคือ มะเร็งกล้ามเนื้อกระจายมาที่ปอด
ทั้งนี้ เคสดังกล่าวถือเป็นมะเร็งชนิดนี้ตอบสนองดีต่อการรักษา จึงขอให้กรณีตัวอย่างนี้เป็นบทเรียนในการปรับแนวความคิดของคนไทยทุกคนใหม่
อย่างไรก็ตาม คุณหมอเจ้าของเพจ ให้ความรู้และแนวทางสำหรับผู้ป่วย หากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ซึ่งสิ่งที่ควรคิดและทำคือ… รู้ว่าจิตตก เพราะเป็นเรื่องปกติคนไข้สถานการณ์นี้ แต่อยากให้ตั้งสติแล้วคุยกับแพทย์ให้เคลียร์ว่า มะเร็งที่เป็นนี้มีโอกาสรักษาสำเร็จประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ หรืออยู่ได้อีกกี่ปีหลังจากรักษา ถ้าไม่รักษาเลยจะอยู่ได้กี่ปี
ระหว่างรักษามีผลแทรกซ้อนอะไรที่ทำให้รบกวนคุณภาพชีวิตไหม หรือถ้ามีจะมีมากน้อยแค่ไหน มะเร็งนี้ตอบสนองดีต่อการรักษาหรือไม่ สภาพร่างกาย อายุ และโรคประจำตัวของผู้ป่วยคุ้มไหมที่จะเดินหน้าต่อ
และที่สำคัญคือ ลูกหลานควรจะอยู่ด้วยเวลาคุยกับหมอ เพราะผู้ป่วยอยู่ในสภาพจิตตก ฟังหมอแล้วอาจจะรวบประเด็นได้ไม่หมด หรือมีอารมณ์ร่วมเยอะ ดังนั้นมีโอกาสที่จะตัดสินใจบนพื้นฐานอารมณ์มากกว่าข้อมูลสูง ลูกหลานจะมีบทบาทอย่างยิ่งในการช่วยควบคุมสถานการณ์
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ แนะนำให้ขอเวลากลับไปคิดแล้วค่อยนัดมาคุยใหม่อีกครั้ง ซึ่งระหว่างนั้นก็ทำการบ้าน ตั้งสติ สอบถามเพื่อนบ้านที่มีประสบการณ์ (ไม่เอาข่าวลือ) เน้นถามผู้ป่วยที่เคยรักษาโดยตรงจะดีมาก เรื่องอาหารเสริมต่าง ๆ แนะนำว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวจะดีมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก หมอโรคปอด และทางเดินหายใจ: หมอวินัย
วันที่ 27 เมษายน 2564 เพจเฟซบุ๊ก หมอโรคปอด และทางเดินหายใจ: หมอวินัย เปิดเผยเคสตำรวจวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง ที่ป่วยโรคมะเร็งที่ขา แต่ไม่ยอมรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน กลับไปให้หมอผีช่วยเป่าให้ และสุดท้ายเชื้อมะเร็งก็ลุกลามไปเรื่อย ๆ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยคนดังกล่าวป่วยเป็นมะเร็งกล้ามเนื้อขา แต่พอรู้ตัวก็เกิดถอดใจ โดยไม่ยอมเข้ารับการรักษากับแพทย์ปัจจุบัน เพราะเข้าใจว่าหมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ 3 ปี ประกอบกับภรรยาไม่พอใจ และรับไม่ได้ที่หมอพูดตรงไป คิดว่าถ้าอยู่ได้อีกแค่ 3 ปี จะขอกลับไปใช้ชีวิตที่เหลือ และหันไปพึ่งหมอทางเลือก หรือหมอเป่า จนสุดท้ายเวลาผ่านมา 3 ปี จะไม่ตาย แต่มะเร็งแพร่กระจายหนักเข้าปอด
โดยตำรวจนายนี้ มีอาการทรุดลง เริ่มเหนื่อยมากขึ้น ผอมลงเพราะกินไม่ได้ ไอตลอดเวลา เริ่มไอเป็นเลือด ซึ่งผลการตรวจร่างกายเบื้องต้น พบภาวะทึบเสียงบริเวณปอดขวาครึ่งซีก เอกซเรย์ปอดพบปอดข้างขวาทึบเกินครึ่ง CT Scan ปอด พบก้อนกระจายทั่วปอดด้านขวา และลุกลามเข้ามาในหลอดลม และเมื่อส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อ พบภาวะลักษณะก้อนแดงกระจายในหลอดลม มีเลือดออกง่าย หลังจากการตัดชิ้นเนื้อ สรุปคือ มะเร็งกล้ามเนื้อกระจายมาที่ปอด
ทั้งนี้ เคสดังกล่าวถือเป็นมะเร็งชนิดนี้ตอบสนองดีต่อการรักษา จึงขอให้กรณีตัวอย่างนี้เป็นบทเรียนในการปรับแนวความคิดของคนไทยทุกคนใหม่
อย่างไรก็ตาม คุณหมอเจ้าของเพจ ให้ความรู้และแนวทางสำหรับผู้ป่วย หากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ซึ่งสิ่งที่ควรคิดและทำคือ… รู้ว่าจิตตก เพราะเป็นเรื่องปกติคนไข้สถานการณ์นี้ แต่อยากให้ตั้งสติแล้วคุยกับแพทย์ให้เคลียร์ว่า มะเร็งที่เป็นนี้มีโอกาสรักษาสำเร็จประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ หรืออยู่ได้อีกกี่ปีหลังจากรักษา ถ้าไม่รักษาเลยจะอยู่ได้กี่ปี
ระหว่างรักษามีผลแทรกซ้อนอะไรที่ทำให้รบกวนคุณภาพชีวิตไหม หรือถ้ามีจะมีมากน้อยแค่ไหน มะเร็งนี้ตอบสนองดีต่อการรักษาหรือไม่ สภาพร่างกาย อายุ และโรคประจำตัวของผู้ป่วยคุ้มไหมที่จะเดินหน้าต่อ
และที่สำคัญคือ ลูกหลานควรจะอยู่ด้วยเวลาคุยกับหมอ เพราะผู้ป่วยอยู่ในสภาพจิตตก ฟังหมอแล้วอาจจะรวบประเด็นได้ไม่หมด หรือมีอารมณ์ร่วมเยอะ ดังนั้นมีโอกาสที่จะตัดสินใจบนพื้นฐานอารมณ์มากกว่าข้อมูลสูง ลูกหลานจะมีบทบาทอย่างยิ่งในการช่วยควบคุมสถานการณ์
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ แนะนำให้ขอเวลากลับไปคิดแล้วค่อยนัดมาคุยใหม่อีกครั้ง ซึ่งระหว่างนั้นก็ทำการบ้าน ตั้งสติ สอบถามเพื่อนบ้านที่มีประสบการณ์ (ไม่เอาข่าวลือ) เน้นถามผู้ป่วยที่เคยรักษาโดยตรงจะดีมาก เรื่องอาหารเสริมต่าง ๆ แนะนำว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวจะดีมาก
