แม่น้องปลื้ม สวดรุ่นพี่ ตอนนี้แม่ตายทั้งเป็น ลูกโดนรุมเตะจนตาย แถมเอาผู้หญิงมาร่วมวง

            "ถ้าทุกคนที่มีครอบครัวแล้วต้องมาโดนแบบน้อง จะยอมกันไหม  มานอนในโลงแบบลูกแม่ จะยอมกันไหม พ่อแม่เธอจะตายทั้งเป็นเหมือนฉันไหม" คุณแม่ของน้องปลื้ม กล่าว

            ด้านรุ่นพี่ใช้เวลาอยู่ในงาน 15 นาทีแล้วกลับออกไป ส่วนพี่ชายที่เป็นคนค้นหาเบาะแส มั่นใจว่าน้องปลื้มจะได้ความยุติธรรม แต่อยากให้ทั้ง 12 คนคิดก่อนทำ ไม่ใช่ทำแล้วจึงคิด
            ด้านเพื่อนของน้องปลื้ม ได้บอกว่า กว่ารุ่นพี่จะพากันมา ก็เกือบเผาร่างน้องปลื้มแล้ว แต่ยังดีที่มาขอขมาปลื้ม และโชคดีมากที่ไม่โดนรุมประณามจากญาติ ๆ เขาก็รักชีวิตเขาอยู่ พวกคุณยังโชคดีที่มีลมหายใจ ได้มีโอกาสเจอญาติพี่น้องของตัวเอง แต่ปลื้มไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นอีกแล้ว และคนที่ร่วมทำ ก็ยังมีผู้หญิงอีก ควรเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วยซ้ำ พวกคุณใจดำ ใจดำเหมือนหมา ใจส้นเท้า

            "เพื่อนกูไปทำอะไรให้พวกมึง ทำไมถึงทำกับมันขนาดนี้ อย่าไปทำแบบนี้กับใคร ทุกคนมันก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ขนาดพ่อแม่มึงเขาก็ยังรัก ยังทะนุถนอมมึง พ่อแม่เพื่อนกูก็เช่นกัน กว่าจะเลี้ยงให้เติบโต พ่อแม่เขาก็เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งลูกจะเรียนจบ มีงานดี ๆ ทำเขาจะได้พึ่งพาลูกเขาต่อไป และต่อจากนี้มันคงเป็นได้แค่ฝัน ที่ไม่อาจลบเลือนจากหัวใจได้เลย"
            อย่างไรก็ตาม ในงานเผาศพของน้องปลื้ม ยังมีการเอาเสื้อช็อปไปแขวนเอาไว้ ท่ามกลางความโศกเศร้า และเพื่อนก็ไปไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

            ในขณะเดียวกัน  พ.ต.อ. พันษา อมราพิทักษ์ ผู้กำกับการ สน.ปทุมวัน กล่าวว่า จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อออกหมายเรียกรุ่นพี่ทั้ง 12 คนมาสอบปากคำ หากไม่มาจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 และหมายจับต่อไป ส่วนคนที่ร่วมกระทำจะมากกว่า 12 คนหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน รวมทั้งต้องรอผลการรักษาจากโรงพยาบาลหัวเฉียว และผลการชันสูตรพลิกศพจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

            ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์พรชัย อัจฉริยเมธากร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ระบุว่า ทางมหาวิทยาลัยตรียมตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเรื่องที่เกิดขึ้น และตอนนี้ ทางมหาวิทยาลัยอยู่ในระหว่างการหารือทางข้อกฎหมาย ทางมหาวิทยาลัยยืนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูล และพร้อมให้ความช่วยเหลือ ทางครอบครัวเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร และทางมหาวิทยาลัยมีโทษให้รุ่นพี่ออกจากสถานะนักศึกษาแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้