ศรีสุวรรณ ร้อง ก.ล.ต. สอบไฟเซอร์ หมอบุญ ส่อดีลวัคซีนทิพย์ปั่นหุ้น ?

          ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่น ก.ล.ต. ตรวจสอบ หมอบุญ ปมวัคซีน ไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ทำหุ้นธนบุรีเฮลท์แคร์ ราคาทะยานขึ้น 1,500 ล้าน ถือเป็นความผิดหรือไม่ ชี้ล่าสุดเรื่องเงียบหาย


          วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย กรณี นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ออกมาให้ข่าวว่าตนเองสามารถจัดหาวัคซีนทางเลือก 20 ล้านโดส อาจกลายเป็น วัคซีนทิพย์ เพื่อต้องการสร้างความนิยมในหุ้นของบริษัทหรือไม่

          นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่ นพ.บุญ ออกมาให้ข่าวว่ากำลังดำเนินการลงนามจัดซื้อวัคซีน BioNTech ของเยอรมัน ชนิด mRNA เป็นตัวเดียวกับไฟเซอร์ และ Novavax ของอเมริกานั้น เป็นข่าวที่สร้างความดีใจและความหวังให้กับคนไทยเป็นจำนวนมากที่หวังจะได้ใช้วัคซีนชนิด mRNA เพื่อนำมาป้องกันเชื้อโควิด-19 โดย แถมยังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงนามจัดซื้อได้ภายในเย็นวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป ไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับสังคม


          นอกจากนี้หลังจากมีข่าวการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว ช่วงเช้าวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ราคาหุ้นของธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป จากราคา 29.75 บาท ก็พุ่งสูงขึ้นถึง 33.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 12.61 % ทันที ขระที่สื่อต่างประเทศได้รายงานว่าการออกมาให้ข่าวดีลการซื้อวัคซีนดังกล่าวช่วยให้ราคาหุ้นของเครือธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ปดีดตัวขึ้น และมีมูลค่าด้านการตลาดเพิ่มขึ้นราว 1,500 ล้านบาท

          ซึ่งต่อมาทางบริษัท Pfizer Deutschland GmbH ก็ได้แจ้งผ่านอีเมล์ทางการของบริษัทเรื่องสิทธิ์การจัดจำหน่ายวัคซีน โดยระบุว่า บริษัทจะร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการจัดหาวัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 และกำลังอยู่ในช่วงปรึกษาหารือกับกรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ส่วนผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของสหรัฐฯ ก็ยืนยันเช่นกันว่า ทางบริษัทได้เจรจาเรื่องการส่งออกวัคซีนชนิด mRNA กับรัฐบาลไทยเท่านั้น


          นายศรีสุวรรณ กล่าวเสริมอีกว่า จนถึงขณะนี้บทสรุปเรื่องการดีลเจรจาซื้อวัคซีนดังกล่าวของ นพ.บุญ ยังไม่มีใครทราบว่าจะออกมาทางใด แต่ที่แน่ ๆ การออกมาให้ข่าวอย่างต่อเนื่องดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่า เป็นการสร้างกระแสความนิยมในหุ้นของบริษัทในเครือของตนหรือไม่  


          ซึ่งเรื่องนี้ตามกฎหมายได้ระบุเอาไว้ว่า ห้ามมิให้บุคคลใดบอกกล่าวเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งมีโทษหนักทั้งทางอาญา และ หรือทางแพ่ง คือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่ 1 ล้านถึง 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม ม.240 ม.242 ม.243 ประกอบ ม.296 วรรคสอง แห่ง พรบ.ตลาดหลักทรัพย์ 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

          ด้วยเหตุนี้ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงมาร้องเรียนเพื่อขอให้ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับสิ่งที่เกิดขึ้น และให้ตรวจสอบว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายของ ก.ล.ต. เพื่อหวังผลการเพิ่มมูลค่าหุ้นของตนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ต่อไป


ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ศรีสุวรรณ จรรยา