สรุป สรยุทธ เปิดวอร์ หมอนงนลินี นาน ๆ ทีของขึ้น กล่าวหาเอายาฟาวิฯ แจกคนไข้

หมอนงนลินี โพสต์ถามสรยุทธ จะเอายาฟาวิพิราเวียร์มาแจกเองไม่ได้ แต่ละที่มีไวรัสสายพันธุ์ของมันเอง

         ทั้งนี้ พญ.นงนลินี ได้โพสต์ข้อความเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 และฝากคำถามไปถึงสรยุทธ และดาราที่ออกมา Call Out รวมไปถึงคนที่สร้างข่าวปลอม นักการเมือง ว่า ตนมีโอกาสได้ไปเป็นอาสาที่ กทม. และพบว่า คนไข้ที่เจ้าหน้าที่รับมาส่วนมากเป็นคนไข้ในกลุ่มสีเขียว ซึ่งอาการไม่หนัก แต่สรยุทธกลับเล่นข่าวขยี้แต่คนไข้ที่อาการหนัก มิหนำซ้ำยังประสานผู้บริการ สปสช. หรือกรมการแพทย์ เพื่ออยากเอายามาแจกทั้งที่แต่ละที่ เช่น อินเดีย อเมริกา ล้วนแต่มีไวรัสสายพันธุ์ของตัวเอง

         ตนรับรู้เรื่องนี้ จึงโทร. หากรมการแพทย์ เพื่อยับยั้งไม่ให้เอายา เอาออกซิเจนมาแจก เพราะคนไข้ต้องการการดูแลจากแพทย์เพิ่มขึ้น

         ตอนนี้ เราควรได้นักข่าวที่ช่วยโรงพยาบาลสนาม ได้ดาราที่ช่วยกันบริจาคเพื่อโรงพยาบาล เพื่อประชาชน ได้จิตอาสาในการแบ่งเบาภาระสาธารณสุข ดาราควรออกมาพูดในเรื่องนี้ มิใช่ Call Out หรือใครจะอยู่จะไป เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตของประชาชน

         "พวกคุณอยู่ กทม. ตลอด ทำมาหากินมีเครดิตร่ำรวยทางสังคม หากคุณทุ่มเททำงานร่วมกับแพทย์ด่านหน้า คุณจะเห็นเหมือนสิ่งที่ดิฉันเห็น"

         อย่างไรก็ตาม สุดท้าย พญ.นงนลินี ก็กล่าวขอบคุณสรยุทธที่ "กลับลำ" ไม่หายาฟาวิพิราเวียร์และสเตียรอยด์มาแจกเอง และบอกว่านี่ไม่ใช่การแฉ แต่คือการเตือนสติจากคนที่รักชาติ ไม่อยากให้คุณหลงทาง

สรยุทธ ชี้ ไม่เคยคิดแม้แต่จะเอายามาแจก ทุกอย่างมีหลักฐาน แถมฟาด ทำไมเลือกกล่าวหาคนอื่นง่าย ๆ

         จากนั้น สรยุทธ ได้ตอบกลับหมอนงนลินียาวเหยียดถึงเรื่องนี้ ว่า ตนไม่เคยประสานกรมการแพทย์ในเรื่องการเอายาฟาวิพิราเวียร์มาแจกคนไข้เอง เพราะตนก็ไม่ใช่หมอ สิ่งที่ตนเคยทำคือ พูดคุยกับกับเลขาธิการ สปสช. ถึงการทำ Home isolation ซึ่งตนก็ฝากถามว่า ถ้าเป็นคนไข้กลุ่มสีเขียว อยากได้ยาฟาวิพิราเวียร์ จะมีหลักเกณฑ์อย่างไร ซึ่งคุณหมอก็พูดถึงหลักเกณฑ์การทำ Home isolation เพื่อสงวนเตียงเอาไว้ให้ผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง ส่วนสีเขียวให้อยู่บ้านไป แล้วจะมีแพทย์ส่งยา วิดีโอคอล และแนะนำการปฏิบัติตัว

         อ่านเพิ่มเติม สรุป สรยุทธคุยเลขา สปสช. ติดโควิดให้อยู่บ้าน ทำอย่างไร-อาการหนักถึงมา รพ.
 
         อีกอย่างคือ ตนไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับกรมการแพทย์ หรือกระทั่งวันที่พบสื่อก็ไม่เคยคุย ส่วนที่พูดในสื่อ ในรายการนั้น คือการที่บอกว่า ถ้าตรวจเจอว่าผลโควิดเป็นบวก ด้วย Rapid Antigen แล้ว ก็ต้องไปตรวจด้วยวิธี RT-PCR กว่าจะยืนยันกว่าจะเข้าระบบ กลัวว่าคนไข้จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงแล้ว เพราะสายพันธุ์เดลตาที่ระบาดอยู่ ก็ออกอาการเร็วมาก ตนแค่ตั้งข้อสังเกต ไม่เคยกดดันให้แจก ไม่เคยขอมาแจกเอง

         "คุณหมอเป็นอะไรครับ ถึงได้กล่าวหาคนอื่นง่าย ๆ แบบนั้น"

         และเรื่องที่บอกว่า สรยุทธ "กลับลำ" นั้น สรยุทธบอกว่า ตนไม่เคยกลับลำ แต่ไม่เคยพูดมาตั้งแต่ต้น ตนทำข่าวและรู้เรื่องการใช้สเตียรอยด์ในอินเดียดีว่ามันเป็นอย่างไร ตนไม่เคยพูด ไม่เคยคิด แต่กลับบอกว่าตนดื้อจะแจกสเตียรอยด์ ส่วนออกซิเจนนั้น ตนแจกเพื่อประคับประคองอาการ ไม่ให้ผู้ป่วยทรมานไปมากกว่าเดิมระหว่างรอเตียง ซึ่งในเคสที่ไม่มีหมอมาประเมิน ดูแลใกล้ชิด เพราะหมอไม่พอ เราต้องยอมจำนนให้ผู้ป่วยทรมานรอความตายไปอย่างนั้นใช่ไหมครับ

         "ให้ออกซิเจนไม่ได้ หรือช่วยเหลือเฉพาะหน้าอะไรไม่ได้ ให้อะไรก็ไม่ได้ เพราะต้องให้หมอมาประเมินดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้น อย่าผูกขาดการช่วยเหลือผู้ป่วยไว้แค่หมอเลยครับ"

         ตนเชื่อว่า คนจิตอาสา หรือกระทั่งสื่อ ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นไปให้อะไรที่ไม่ได้ผ่านการปรึกษาหารือเบื้องต้นกับหมอหรอก เพราะมันคือชีวิต ไม่มีใครกล้าเสี่ยง แค่ไม่ได้เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปปรึกษาหมอนงนลินีเท่านั้น

         "น่าผิดหวัง ทำไมเลือกจะกล่าวหาคนอื่นง่าย ๆ แบบนี้"

         ส่วนกรณีที่มาถามว่า "ทำไมไม่ไปทำข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลสนามในแต่ละวัน" สรยุทธบอกว่า ข่าวแบบนี้ไม่ต้องเจาะลึกก็รู้ว่า การรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวเข้าโรงพยาบาลสนาม เป็นนโยบายกระทรวงสาธารณสุข แต่ตนทำเจาะข่าวกลุ่มผู้ป่วยสีแดงและสีเหลืองที่อยู่ตามบ้าน ที่กำลังรอความช่วยเหลือ และเหมือนคุณหมอจะมาบอกว่า อย่ายุ่ง

         "คุณหมอพร่ำพรรณนา ประมาณว่า ไม่อยากให้เอาการเมืองมาเกี่ยว เป็นต้นว่า อยากจะบอกว่าเราจะไม่มีวันมาถึงจุดนี้เลย ถ้าเราไม่อคติต่อกัน เอาเรื่องการเมืองนำ อ่านแล้วรู้สึกว่า คุณหมอเองมุ่งมั่นกับการเมืองหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ก็ขออภัย

         และดูเหมือนคุณหมอ จะมีปัญหากับน้ำตาของผมมาก ผมขออภัยครับที่น้ำตาของผมจะทำให้คุณหมอไม่สบายใจ

         ที่ผ่านมา หลายกรณีที่เกิดขึ้นกับเคสรอตรวจ รอเตียง รอเข้าระบบ จนหลายคนอาการหนัก จนหลายคนเสียชีวิต เพราะถูกปฏิเสธ สังเกตดูได้ว่า ผมไม่เคยต่อว่าหมอและบุคลากรทางการแพทย์แบบเจาะจง เล่าเรื่องราวแล้วก็ผ่านไป เพราะรู้ว่า ทุกคนทำงานหนัก และมันเป็นปัญหาที่ระบบ ไม่ใช่ตัวบุคคลที่แบกภาระมามากเกินจะรับไหวแล้ว วันนี้ ผมเสียใจที่ต้องเจาะจงถึงคุณหมอนงนลินี เพื่อตอบคำถามของคุณหมอนงนลินีเองนะครับ

         เป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่ "หมอ" นะครับ"

บทสรุปส่งท้าย เลขาธิการแพทยสภา พูดเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ ต้องให้อย่างเร็วที่สุด