เปิดคดีฆาตกรรมสยองลูกสาวอดีตทูตปากีสถาน ฝีมือลูกชายตระกูลทรงอิทธิพล ถูกรวบคาบ้าน - พ่อแม่เจอจับด้วยหลังพยายามปกปิดหลักฐาน ด้านสังคมปลุกกระแสรณรงค์ หนุนออกกฎหมายต่อต้านความรุนแรง
วันที่ 8 สิงหาคม 2564 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น มีรายงานคดีฆาตกรรมโหดที่เป็นข่าวใหญ่สะเทือนสังคมปากีสถาน เมื่อ นูร์ มูกาดัม วัย 27 ปี ลูกสาวอดีตทูตของปากีสถาน ถูกทารุณกรรมและฆ่าตัดศีรษะ โดยฝีมือของ ซาฮีร์ แจฟเฟอร์ ชายวัย 30 ปี ซึ่งเป็นลูกของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลระดับประเทศ ปลุกคนทั่วประเทศให้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมแก่เธอ พร้อมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อส่งเสริมการต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี
รายงานของตำรวจเผยว่า นูร์ มูกาดัม ถูกฆาตกรรมโดยคนรู้จักของเธอ ซึ่งเป็นลูกชายของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลทางการค้า โดยทางตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในคืนวันเกิดเหตุ จากบ้านของซาฮีร์ที่ตั้งอยู่ในย่านคนรวยของกรุงอิสลามาบัด ต่อมาซาฮีร์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดนเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
ลูกสาวหาย - ไร้การติดต่อ
ด้าน เซาคัต มูกาดัม พ่อของนูร์ ซึ่งเป็นนักการทูตชื่อดังที่เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นทูตประจำเกาหลีใต้และไอร์แลนด์ เผยกับตำรวจว่า เขากับภรรยาทำธุระอยู่นอกบ้านในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่เมื่อกลับมาบ้านก็พบว่าลูกสาวไม่อยู่และไม่กลับมาในคืนนั้น เขาพยายามโทร. หาลูก แต่เธอปิดโทรศัพท์ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ดังนั้นเขากับภรรยาจึงพยายามออกตามหาลูกสาว โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ของลูก
รายงานยังเผยว่า ในวันที่ 19 กรกฎาคม นูร์ได้โทร. บอกครอบครัวว่าเธอกับเพื่อนจะเดินทางไปยังเมืองลาฮอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง แต่หลังจากนั้นพ่อแม่ก็ไม่ได้ข่าวจากลูกสาวอีก
ข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด ลูกสาวถูกฆาตกรรม
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 กรกฎาคม เซาคัตได้รับโทรศัพท์จากซาฮีร์ ที่โทร. มาบอกว่าหญิงสาวไม่ได้อยู่กับตัวเอง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาทางตำรวจก็ได้โทร. แจ้งเซาคัตว่าลูกสาวของเขาถูกสังหารแล้ว ขอให้เขามายังสถานีตำรวจ ก่อนจะพาไประบุตัวศพของผู้ตายที่บ้านของตระกูลแจฟเฟอร์ แต่ทางตำรวจไม่ได้เผยถึงแรงจูงใจของคนร้าย
เกิดอะไรขึ้นก่อนเหตุฆ่าสะเทือนขวัญ
รายงานจากของ geo.tv ได้มีการตรวจสอบช่วงเวลาที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว พบว่าผู้ก่อเหตุมีการวางแผนจะเดินทางออกนอกประเทศ โดยได้ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าแล้ว มีกำหนดเดินทางในช่วงเช้ามืดวันที่ 19 กรกฎาคม พร้อมเรียกแท็กซี่ไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มารับไปยังสนามบิน
ผู้ตายได้รับสายจากซาฮีร์และเดินทางมาหาเขาในคืนวันที่ 18 กรกฎาคม โดยพบว่าในคืนนั้นซาฮีร์พยายามติดต่อบริษัทท่องเที่ยวที่จองตั๋วเครื่องบินไว้หลายครั้ง เพราะคาดว่าจะไม่สามารถเดินทางตามกำหนดได้ แต่แล้วในเวลา 02.20 น. วันที่ 19 กรกฎาคม เขาก็พานูร์ขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังสนามบิน
แต่ระหว่างทางอยู่ ๆ ซาฮีร์ก็สั่งให้แท็กซี่วกรถกลับไปบ้าน อ้างว่าคงไปไม่ทันแล้ว
ในคืนวันนั้นคาดว่าทั้งซาฮีร์และนูร์มีเรื่องทะเลาะกัน หลังจากที่เธอได้รับข้อความจากพ่อแม่หลายข้อความ จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม นูร์ก็ยังไม่สามารถติดต่อพ่อแม่ได้ โดยตำรวจเชื่อว่าซาฮีร์ยึดโทรศัพท์ของเธอไป แม้ว่าต่อมาเธอจะหาทางส่งข้อความเสียงไปหาแม่ได้ แต่ซาฮีร์ก็รีบโทร. ไปบอกครอบครัวของเธอ โกหกว่าหญิงสาวไม่ได้อยู่กับเขา
ทั้งนี้ พบว่านูร์ถูกกักขังตั้งแต่ช่วงสายจนถึงหัวค่ำ จนเธอตัดสินใจกระโดดหนีออกจากระเบียงและวิ่งไปยังประตูหน้าบ้าน แต่เขาตามออกมาจับเธออีกครั้ง ลากเธอกลับเข้าไป ซึ่งตำรวจเชื่อว่านูร์น่าจะถูกฆาตกรรมหลังจากการเผชิญหน้าครั้งนี้ โดยพบว่าเธอมีร่องรอยถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมและถูกตัดศีรษะในที่สุด
![เปิดคดีฆ่าลูกสาวทูต เปิดคดีฆ่าลูกสาวทูต]()
ภาพจาก FAROOQ NAEEM / AFP
พ่อแม่ผู้ก่อเหตุ ถูกจับด้วย
ขณะที่พ่อแม่ของซาฮีร์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดธุรกิจการค้าของตระกูลเก่าแก่ที่สุดในปากีสถาน ก็ถูกตำรวจจับกุมเช่นกันในข้อหาปกปิดหลักฐานและยุยงให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา โดยศาลปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวหลังพบข้อมูลบ่งชี้ว่า ทั้ง 2 คนใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดหลักฐานคดีฆาตกรรมของลูกชาย
อย่างไรก็ตาม ทางทนายของพ่อแม่ซาฮีร์ บอกว่าทั้งคู่ได้ประณามการกระทำของลูกชายในเหตุฆาตกรรม และจะไม่เข้าข้างลูกชาย พร้อมมีการเผยข้อความประณามความผิดผ่านเว็บไซต์บริษัท ร้องขอสังคมไม่ให้ตัดสินคนทั้งตระกูลเพียงเพราะการกระทำอันน่าสะพรึงกลัวของคนเดียวคนเดียว
จากคดีฆ่าโหด สู่กระแสปลุกระดม
เพียงไม่กี่วันหลังการจากไปของ นูร์ มูกาดัม ชาวปากีสถานก็ได้ออกมาร่วมกันเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เธอ โดยมีการสร้างแฮชแท็ก #JusticeforNoor จนติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ นอกจากนี้ยังมีผู้สร้างเพจระดมทุนเพื่อให้ครอบครัวใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการต่อสู้คดีทางกฎหมายด้วย เป็นจำนวนเงินเกือบ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.6 ล้านบาท
โดยคาดว่าครอบครัวของหญิงสาวจะต้องเผชิญการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน แม้จะพบว่ามีพยานหลักฐานรวมถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นหนา ในการเอาผิดซาฮีร์ก็ตาม
อนึ่ง ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวรวมถึงความรุนแรงต่อสตรี เป็นปัญหาที่ค้างคาในสังคมปากีสถานที่มีค่านิยมแบบปิตาธิปไตยมาเนิ่นนาน ความรุนแรงในชีวิตสมรสหลายครั้งไม่ถูกแจ้งต่อทางการ หรือต่อให้มีคนพยายามเอาผิด สุดท้ายระบบการตัดสินคดีอาญาของปากีสถาน ก็ยังมองว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของคนรักและครอบครัวเท่านั้น
คดีที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นชนวนกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหว รณรงค์สิทธิสตรีและสนับสนุนให้สภาผ่านร่างกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว แม้ว่าเมื่อกฎหมายผ่านแล้วจะมีผลบังคับเพียงในพื้นที่อิสลามาบัดก็ตาม โดยนักเคลื่อนไหวเชื่อว่ากฎหมายดังกล่าวจะกลายมาเป็นก้าวสำคัญ ที่ทำให้เมืองต่าง ๆ มีการผ่านร่างกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในลักษณะคล้ายกันได้
ขอบคุณข้อมูลจาก ซีเอ็นเอ็น, geo.tv
วันที่ 8 สิงหาคม 2564 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น มีรายงานคดีฆาตกรรมโหดที่เป็นข่าวใหญ่สะเทือนสังคมปากีสถาน เมื่อ นูร์ มูกาดัม วัย 27 ปี ลูกสาวอดีตทูตของปากีสถาน ถูกทารุณกรรมและฆ่าตัดศีรษะ โดยฝีมือของ ซาฮีร์ แจฟเฟอร์ ชายวัย 30 ปี ซึ่งเป็นลูกของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลระดับประเทศ ปลุกคนทั่วประเทศให้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมแก่เธอ พร้อมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อส่งเสริมการต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี
รายงานของตำรวจเผยว่า นูร์ มูกาดัม ถูกฆาตกรรมโดยคนรู้จักของเธอ ซึ่งเป็นลูกชายของตระกูลผู้ทรงอิทธิพลทางการค้า โดยทางตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ในคืนวันเกิดเหตุ จากบ้านของซาฮีร์ที่ตั้งอยู่ในย่านคนรวยของกรุงอิสลามาบัด ต่อมาซาฮีร์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดนเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
ด้าน เซาคัต มูกาดัม พ่อของนูร์ ซึ่งเป็นนักการทูตชื่อดังที่เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นทูตประจำเกาหลีใต้และไอร์แลนด์ เผยกับตำรวจว่า เขากับภรรยาทำธุระอยู่นอกบ้านในวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา แต่เมื่อกลับมาบ้านก็พบว่าลูกสาวไม่อยู่และไม่กลับมาในคืนนั้น เขาพยายามโทร. หาลูก แต่เธอปิดโทรศัพท์ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ดังนั้นเขากับภรรยาจึงพยายามออกตามหาลูกสาว โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ของลูก
รายงานยังเผยว่า ในวันที่ 19 กรกฎาคม นูร์ได้โทร. บอกครอบครัวว่าเธอกับเพื่อนจะเดินทางไปยังเมืองลาฮอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง แต่หลังจากนั้นพ่อแม่ก็ไม่ได้ข่าวจากลูกสาวอีก
ข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด ลูกสาวถูกฆาตกรรม
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 กรกฎาคม เซาคัตได้รับโทรศัพท์จากซาฮีร์ ที่โทร. มาบอกว่าหญิงสาวไม่ได้อยู่กับตัวเอง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาทางตำรวจก็ได้โทร. แจ้งเซาคัตว่าลูกสาวของเขาถูกสังหารแล้ว ขอให้เขามายังสถานีตำรวจ ก่อนจะพาไประบุตัวศพของผู้ตายที่บ้านของตระกูลแจฟเฟอร์ แต่ทางตำรวจไม่ได้เผยถึงแรงจูงใจของคนร้าย
เกิดอะไรขึ้นก่อนเหตุฆ่าสะเทือนขวัญ
รายงานจากของ geo.tv ได้มีการตรวจสอบช่วงเวลาที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว พบว่าผู้ก่อเหตุมีการวางแผนจะเดินทางออกนอกประเทศ โดยได้ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าแล้ว มีกำหนดเดินทางในช่วงเช้ามืดวันที่ 19 กรกฎาคม พร้อมเรียกแท็กซี่ไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มารับไปยังสนามบิน
ผู้ตายได้รับสายจากซาฮีร์และเดินทางมาหาเขาในคืนวันที่ 18 กรกฎาคม โดยพบว่าในคืนนั้นซาฮีร์พยายามติดต่อบริษัทท่องเที่ยวที่จองตั๋วเครื่องบินไว้หลายครั้ง เพราะคาดว่าจะไม่สามารถเดินทางตามกำหนดได้ แต่แล้วในเวลา 02.20 น. วันที่ 19 กรกฎาคม เขาก็พานูร์ขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังสนามบิน
แต่ระหว่างทางอยู่ ๆ ซาฮีร์ก็สั่งให้แท็กซี่วกรถกลับไปบ้าน อ้างว่าคงไปไม่ทันแล้ว
ในคืนวันนั้นคาดว่าทั้งซาฮีร์และนูร์มีเรื่องทะเลาะกัน หลังจากที่เธอได้รับข้อความจากพ่อแม่หลายข้อความ จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม นูร์ก็ยังไม่สามารถติดต่อพ่อแม่ได้ โดยตำรวจเชื่อว่าซาฮีร์ยึดโทรศัพท์ของเธอไป แม้ว่าต่อมาเธอจะหาทางส่งข้อความเสียงไปหาแม่ได้ แต่ซาฮีร์ก็รีบโทร. ไปบอกครอบครัวของเธอ โกหกว่าหญิงสาวไม่ได้อยู่กับเขา
ทั้งนี้ พบว่านูร์ถูกกักขังตั้งแต่ช่วงสายจนถึงหัวค่ำ จนเธอตัดสินใจกระโดดหนีออกจากระเบียงและวิ่งไปยังประตูหน้าบ้าน แต่เขาตามออกมาจับเธออีกครั้ง ลากเธอกลับเข้าไป ซึ่งตำรวจเชื่อว่านูร์น่าจะถูกฆาตกรรมหลังจากการเผชิญหน้าครั้งนี้ โดยพบว่าเธอมีร่องรอยถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมและถูกตัดศีรษะในที่สุด

ภาพจาก FAROOQ NAEEM / AFP
พ่อแม่ผู้ก่อเหตุ ถูกจับด้วย
ขณะที่พ่อแม่ของซาฮีร์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดธุรกิจการค้าของตระกูลเก่าแก่ที่สุดในปากีสถาน ก็ถูกตำรวจจับกุมเช่นกันในข้อหาปกปิดหลักฐานและยุยงให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา โดยศาลปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวหลังพบข้อมูลบ่งชี้ว่า ทั้ง 2 คนใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดหลักฐานคดีฆาตกรรมของลูกชาย
อย่างไรก็ตาม ทางทนายของพ่อแม่ซาฮีร์ บอกว่าทั้งคู่ได้ประณามการกระทำของลูกชายในเหตุฆาตกรรม และจะไม่เข้าข้างลูกชาย พร้อมมีการเผยข้อความประณามความผิดผ่านเว็บไซต์บริษัท ร้องขอสังคมไม่ให้ตัดสินคนทั้งตระกูลเพียงเพราะการกระทำอันน่าสะพรึงกลัวของคนเดียวคนเดียว
จากคดีฆ่าโหด สู่กระแสปลุกระดม
เพียงไม่กี่วันหลังการจากไปของ นูร์ มูกาดัม ชาวปากีสถานก็ได้ออกมาร่วมกันเรียกร้องความเป็นธรรมแก่เธอ โดยมีการสร้างแฮชแท็ก #JusticeforNoor จนติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ นอกจากนี้ยังมีผู้สร้างเพจระดมทุนเพื่อให้ครอบครัวใช้เป็นค่าธรรมเนียมในการต่อสู้คดีทางกฎหมายด้วย เป็นจำนวนเงินเกือบ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.6 ล้านบาท
โดยคาดว่าครอบครัวของหญิงสาวจะต้องเผชิญการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน แม้จะพบว่ามีพยานหลักฐานรวมถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นหนา ในการเอาผิดซาฮีร์ก็ตาม
อนึ่ง ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวรวมถึงความรุนแรงต่อสตรี เป็นปัญหาที่ค้างคาในสังคมปากีสถานที่มีค่านิยมแบบปิตาธิปไตยมาเนิ่นนาน ความรุนแรงในชีวิตสมรสหลายครั้งไม่ถูกแจ้งต่อทางการ หรือต่อให้มีคนพยายามเอาผิด สุดท้ายระบบการตัดสินคดีอาญาของปากีสถาน ก็ยังมองว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวของคนรักและครอบครัวเท่านั้น
คดีที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นชนวนกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหว รณรงค์สิทธิสตรีและสนับสนุนให้สภาผ่านร่างกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว แม้ว่าเมื่อกฎหมายผ่านแล้วจะมีผลบังคับเพียงในพื้นที่อิสลามาบัดก็ตาม โดยนักเคลื่อนไหวเชื่อว่ากฎหมายดังกล่าวจะกลายมาเป็นก้าวสำคัญ ที่ทำให้เมืองต่าง ๆ มีการผ่านร่างกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในลักษณะคล้ายกันได้
ขอบคุณข้อมูลจาก ซีเอ็นเอ็น, geo.tv