ราชทัณฑ์ รับ มีการเรียกรับเงินถอดกำไล EM จริง แต่เป็นนักโทษเก่าที่พ้นโทษไปแล้ว แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ หลอกคนที่เพิ่งพ้นโทษอีกที พร้อมชี้แจงประเด็นอื่น ๆ เช่น เรือนจำไม่มีมาตรฐาน เรียกรับผลประโยชน์ต่าง ๆ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 4 กันยายน 2564 แนวหน้า รายงานว่า นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์
ออกมาระบุถึงกรณีเพจทนายคลายทุกข์ ซึ่งมีการเชิญผู้ร่วมรายการ 2 ราย
ออกมาระบุว่าเคยเป็นผู้ต้องขังที่เรือนจำกลางสมุทรปราการ
และเรือนจำพิเศษธนบุรี
โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของเรือนจำมีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์
การดำเนินการของเรือนจำไม่มีมาตรฐานในการควบคุมผู้ต้องขัง
อีกทั้งยังถูกหลอกเรื่องการถอดกำไล EM
ว่าต้องมีการเสียเงินเพื่อถอดก่อนกำหนดคุมประพฤติ
นายธวัชชัย ระบุว่าทางกรมราชทัณฑ์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ เนื่องจากเป็นการกล่าวหาต่อการปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบของเจ้าหน้าที่ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและความเชื่อมั่นของประชาชน โดยได้สั่งการให้เรือนจำทั้งสองแห่งรีบตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็ว
โดย นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ ระบุว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อดีตผู้ต้องขังออกมากล่าวหานั้น ช่วงเวลานั้นตนยังไม่เข้ามาดำรงตำแหน่ง แต่ก็ได้ตรวจสอบแล้ว มีรายละเอียดดังนี้
- มีการเรียกรับผลประโยชน์จากการถอดกำไล EM จริง โดยผู้ก่อเหตุแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำ แต่จริง ๆ แล้วเป็นผู้ที่เคยต้องโทษซึ่งพ้นโทษออกไปช่วงเดือนกันยายน 2563 ก่อนจะไปหลอกลวงผู้ร่วมรายการดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
- กรณีกล่าวหาว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์เกี่ยวกับการออกทำงานภาย นอกเรือนจำ ที่ผ่านมาเรือนจำได้ดำเนินการตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการส่งนักโทษเด็ดขาดออกไปทำงานงานสาธารณะอย่างเคร่งครัด ผู้ต้องขังจึงต้องมีคุณสมบัติตามที่กรมราชทัณฑ์กำหนดเท่านั้น อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ ได้ระงับการส่งตัวผู้ต้องขังออกภายนอก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีการ นำผู้ต้องขังออกทำงานภายนอกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
- กรณีการเรียกรับผลประโยชน์เรื่องการย้ายแดน เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย เบื้องต้นตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดเรียกรับผลประโยชน์ตามที่พาดพิง เนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการจำแนก ที่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาแก่ผู้ต้องขังเป็นสำคัญ
- การซื้อขายยารักษาโรคภายในเรือนจำนั้น ปกติเรือนจำได้มีการฝึกอบรม อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) และมีเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ได้มาตรฐานทางวิชา ชีพดูแล ซึ่งหากจำเป็นต้องสั่งยาตามแผนการรักษาจะต้องลงบันทึกในทะเบียน (OPD) การรักษาทุกครั้ง ดังนั้น กรณีที่ผู้ต้องขังนำไปขาย อาจเพราะมีอาการดีขึ้นจึงหยุดยา โดยไม่แจ้งเจ้าหน้าที่และนำยาดังกล่าวไปแลกผลประโยชน์กับเพื่อนผู้ต้องขังกันเอง
ด้าน นายสมภพ รุจจนเวท ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษธนบุรี ได้ชี้แจงดังนี้
- ดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การจำแนกคัดเลือกผู้ต้องขังให้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือ ต้องมีคณะกรรมการจากทุกฝ่ายพิจารณาคัดเลือก
- ประเด็นการใช้บุหรี่ เพื่อแลกกับประโยชน์ส่วนตัวต่าง ๆ ของผู้ต้องขัง นั้น ทางเรือนจำ ได้ยกเลิกการจำหน่ายบุหรี่ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 และยกเลิกการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2561 เป็นต้นมา
- เรือนจำพิเศษธนบุรีมีพื้นที่ห้องขนาดมาตรฐาน กว้าง 4.50 x 9 เมตร จำนวน 138 ห้อง รองรับผู้ต้องขังได้ 5,245 คน (คิดจากพื้นที่ 1.2 ตารางเมตรต่อคน) ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังเพียง 3,745 คน ถือว่าต่ำกว่าอัตราความจุที่กำหนด จึงไม่ประสบปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังแต่อย่างใด
- เรื่องอาหารไม่ถูกสุขอนามัย เรือนจำได้ดำเนินการตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัดทั้งเรื่องคุณภาพและความสะอาด มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานสาธารณสุข ด้านรสชาติอาหารต้องคำนึงถึงภาวะโภชนาการที่เหมาะสมเป็นหลัก อีกทั้ง มีปริมาณที่เพียงพอ เท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการใช้แรงงานผู้ต้องขัง การรักษาพยาบาล การจัดเลี้ยงอาหาร และสภาพความเป็นอยู่ ทางเรือนจำฯ ปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัดทุกประการ
นายธวัชชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ ได้เน้นย้ำให้เรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของเรือนจำ (SOPs) อย่างเคร่งครัด และดำเนินงานภายใต้กรอบของกฎหมายและมาตรฐานสากลที่สำคัญ ยึดหลักคุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ อย่างไรก็ดี กรมราชทัณฑ์ยินดีรับฟังและขอรับข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดประพฤติมิชอบ กระทำตามที่ได้กล่าวอ้างนั้น กรมราชทัณฑ์ พร้อมดำเนินการทางวินัยและตามกฎหมายต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า