ในหลาย ๆ วัฒนธรรมโบราณ การฝังศพหมู่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วโลก ซึ่งมีที่มาที่ไปแตกต่างกันไป บ้างเป็นการฝังรวมเพราะโรคระบาด หรือเป็นเหยื่อสังเวยที่ถูกฆ่าบูชายัญเทพเจ้าและอื่น ๆ การฝังศพแบบคู่ก็มีเช่นกัน แต่พบเห็นได้ยากมาก และมักจะเป็นคู่ ทว่าคู่นี้เป็นหนึ่งในการค้นพบที่สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก เพราะเป็นแม่ลูกที่กอดประกองกันมาเกือบ 5 สหัสวรรษ
ย้อนไปเมื่อปี 2014 นักโบราณคดีค้นพบซากโครงกระดูกถูกฝังใต้ถนนอันเหอ ในเขตเมืองไถจงของไต้หวัน และได้เริ่มสร้างทำการขุดค้นอย่างจริงจัง และผ่านไปหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ฟอสซิลโครงกระดูกแม่ลูก ก็ถูกขุดขึ้นมาได้สำเร็จ
ภาพจาก National Museum of Natural Science
จากการตรวจสอบพบว่าศพทั้งสองมีอายุนับย้อนไปได้ราว 4,800 ปีก่อน ซึ่งสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการพบฟอสซิลสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยยุคหินใหม่ (Neolithic) เป็นครั้งแรกในพื้นที่
ท่าทางของศพทั้งสองยิ่งสร้างความทึ่งให้กับนักวิยาศาสตร์ เพราะเป็นแม่ที่ถูกฝังในท่าอ้อมแขนประคองกอดลูก และก้มหน้าหันไปมองลูกรัก ไม่ทราบแน่ชัดว่าสองแม่ลูกคู่นี้เสียชีวิตจากสาเหตุใด แต่สันนิษฐานว่าทั้งสองเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน
นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่า คนในครอบครัวตั้งใจฝังทั้งสองด้วยกัน เพื่อมิเป็นการพรากลูกจากแม่ และจัดท่าทางแบบนี้ เพื่อให้แม่ได้ประกองกอดลูกน้อยไปชั่วนิรันดร์ ให้ความรักของแม่ปกป้องลูกตลอดไปในโลกหลังความตายและในภพหน้า ไม่ว่ากี่ชาติ ให้ได้มาเป็นแม่ลูกกันอีก
โครงกระดูกดังกล่าว กลายป็นสัญลักษณ์อันตราตรึงใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่และไร้สิ้นสุดของมารดา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีชีวิตอยู่ หรือสิ้นลมหายใจไปแล้ว
