ทหารหญิงเกาหลีเหนือ แฉความขมขื่นในกองทัพ นายหื่นล่วงละเมิด - ทำแท้งโดยไม่ใช้ยาสลบ

ทหารหญิงถูกล่วงละเมิด - จับทำแท้งอย่างทารุณ

         โดย เจนนิเฟอร์ คิม อดีตทหารหญิงชาวเกาหลีเหนือ ที่ปัจจุบันลี้ภัยมาใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐฯ เปิดเผยระหว่างให้ปากคำกับคณะกรรมการเพื่อสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ (HRNK) ระบุว่า ทหารหญิงประมาณ 70% ของกองทัพเกาหลีเหนือ น่าจะตกเป็นเหยื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือคุกคามทางเพศมาแล้วทั้งนั้น รวมถึงตัวเธอด้วย โดยในตอนที่เธออายุ 23 ปี เธอเคยถูกที่ปรึกษาทางการเมืองสั่งให้ไปพบที่ออฟฟิศของเขา ซึ่งเธอรับรู้โดยสัญชาตญาณว่าจะเกิดอะไรขึ้น

         "ถ้าฉันปฏิเสธคำขอของเขา ฉันก็จะไม่สามารถเป็นสมาชิกของพรรคแรงงานเกาหลีได้ ซึ่งหากฉันกลับไปสู่สังคมโดยไม่สามารถเข้าร่วมพรรคได้ ก็จะถูกมองเป็นเด็กมีปัญหาและจะถูกตีตราไปชั่วชีวิต ซึ่งหมายถึงคุณจะไม่สามารถหางานดี ๆ ได้ และจะเป็นปัญหาตอนที่พยายามจะแต่งงาน แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ ท้ายที่สุดฉันก็ถูกเขาล่วงละเมิด"

         อย่างไรก็ตามสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะไม่นานหลังถูกล่วงละเมิดเธอก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงแปลก ๆ ของร่างกาย ซึ่งเมื่อเธอบอกที่ปรึกษาคนนั้นให้ทราบ เขาก็สั่งให้เธอไปยังศูนย์การแพทย์ทหารในคืนวันรุ่งขึ้น และเมื่อเธอไปตามที่เขาบอก ก็พบว่ามีศัลยแพทย์รออยู่แล้ว ก่อนที่พวกเขาจะจับเธอทำแท้งโดยไม่ใช้ยาสลบ
 
         เจนนิเฟอร์เผยว่า ความเจ็บปวดที่เผชิญยังคงหลอกหลอนเธออยู่จนถึงขณะนี้ ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เธอไม่เพียงแต่ต้องทรมานทางจิตใจ แต่ยังไม่สามารถมีลูกได้อีกด้วย แม้แต่ในตอนนี้เองก็ยังเป็นเรื่องยากที่เธอจะมีการแต่งงานที่ดี เพราะความอัปยศที่รู้สึกในตอนนั้นยังคงหลอกหลอน และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป

หลายปีขอความทุกข์ทน จมอยู่กับความอดอยาก

         นอกเหนือจากเรื่องการล่วงละเมิด ความขมขื่นที่เหล่าทหารหญิงต้องเผชิญยังรวมถึงความอดอยากจากการปันส่วนอาหาร ซึ่งเจนนิเฟอร์จำได้ว่าเธอมีอาหารประทังชีวิตในแต่ละวันเป็นเม็ดข้าวโพดไม่ถึง 3 ใน 4 ของช้อน เธอจำต้องนับเม็ดข้าวโพดที่ได้รับมาเพื่อจะแบ่งมันได้อย่างเหมาะสม ความอดอยากที่เผชิญทำให้พวกเธออยู่ในภาวะขาดสารอาหาร จนประจำเดือนมาเพียงครั้งเดียวในรอบทุก ๆ 4-6 เดือน  

         และเพราะความอดอยากนี้เองที่ทำให้เกิดการขโมยเพื่อให้มีชีวิตรอด โดยครั้งหนึ่งเจนนิเฟอร์กับสหายที่หิวเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ จำต้องย่องเข้าไปขโมยข้าวโพดในไร่ เธอจำได้ว่าตัวเองต้องระแวดระวังขณะกอดข้าวโพดดิบ ๆ ไว้ราวกับปืนไรเฟิล และในระหว่างทางกลับ เธอกับสหายนั่งลงบนพื้นถนน แทะข้าวโพดดิบที่ขโมยมาได้

         เจนนิเฟอร์เผยว่า แม้ขณะนี้จะมีอาหารอร่อย ๆ อยู่รอบตัวเธอ แต่ไม่มีอะไรที่จะอร่อยไปยิ่งกว่ารสชาติของข้าวโพดดิบที่เธอมีในตอนนั้นอีกแล้ว มันเป็นรสหวานและเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่เธอเคยกินในชีวิต

บทลงโทษสุดโหด ความเจ็บปวดที่ยังหลอกหลอน

         อนึ่ง ความทุกข์ทรมานที่เจนนิเฟอร์กับทหารหญิงคนอื่นต้องเผชิญ ยังรวมถึงบทลงโทษอันโหดร้ายที่พวกเธอต้องรับโทษพร้อมกันแม้จะมีผู้ที่ทำผิดเพียงคนเดียว โดยเธอเคยถูกลงโทษด้วยการให้จุ่มมือลงไปในน้ำเย็นจัด ก่อนจะมาโหนราวเหล็กทำให้อุ้งมือของเธอแข็งติดราว ซึ่งแม้แต่ในตอนนี้เธอยังคงจดจำความเจ็บปวดแสนสาหัส ขณะที่เนื้อหลุดออกจากมือตอนที่ปล่อยราวเหล็กได้

ใช้ผ้าพันเท้าเปียก ๆ แทนผ้าอนามัย

         นอกจากนี้ในเรื่องของสุขอนามัยก็ยังเลวร้าย เธอกับสหายจะได้รับการแจกผ้าก๊อซสำหรับทำแผลมาให้ใช้แทนผ้าอนามัยขณะมีรอบเดือน ซึ่งจำเป็นต้องซักและนำมาใช้ซ้ำ จริงอยู่ว่าเธอก็เคยใช้ผ้าอนามัยเช่นกัน แต่ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่รับใช้กองทัพ เธอเคยใช้ผ้าอนามัยเพียง 4 แผ่นเท่านั้น
 
         อย่างไรก็ตาม หากผ้าก๊อซนั้นไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป พวกเธอก็จำต้องใช้ผ้าพันเท้า ที่ทหารจะใช้พันแทนการสวมถุงเท้าตอนสวมรองเท้าบูต ซึ่งผ้าที่หนาและแข็งนั้นทำให้เกิดการเสียดสีและระคายเคืองมาก ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นบวมมากขึ้น จนถึงจุดที่แค่เพียงการก้าวเดินก็สร้างความเจ็บปวดจนน้ำตาไหลแล้ว

         ที่เลวร้ายคือพวกเธอต้องซักผ้าพันเท้านั้นเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่เช่นกัน แต่เนื่องจากในค่ายทหารนั้นไม่มีเครื่องทำความร้อน ยังไม่ทันที่ผ้าจะแห้งสนิทพวกเธอก็ต้องนำกลับมาใช้ต่อทั้งที่ยังเปียก ๆ เช่นนั้น

         สำหรับความทุกข์ทรมานที่เจนนิเฟอร์เผยต่อ HRNK นับเป็นบันทึกเรื่องราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเกาหลีเหนือ ซึ่ง เกร็ก สคาร์ลาทัว กรรมการบริหารของ HRNK กล่าวว่าสภาพอันน่าเศร้าของทหารหญิงที่ถูกทารุณกรรมเหล่านี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวิถีอาชญากรในระบบการปกครองที่สร้างขึ้นเมื่อ 73 ปีก่อน ทั้งที่ควรจะเป็นการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาค
 
         การทารุณกรรมเหล่าเด็กสาวในชุดเครื่องแบบ ยังสะท้อนให้เห็นความวิปริตและการทุจริตที่ฝั่งรากลึกในพรรคแรงงานและกลุ่มผู้นำระดับสูง ตลอดจนสายบังคับบัญชา
 
         อนึ่ง การรับราชการทหารกลายมาเป็นภาคบังคับที่หญิงชาวเกาหลีเหนือทุกคนต้องเข้าร่วม ตั้งแต่ปี 2558 โดยผู้หญิงทุกคนคาดว่าจะต้องเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่จบการศึกษาจากโรงเรียน จนถึงอายุ 23 ปี