เปิดความโหด คลังอาวุธนิวเคลียร์ที่น่าสะพรึง ของ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำมหาอำนาจรัสเซีย ที่ได้ชื่อว่า มีคลังนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภาพจาก Mikhail Klimentyev / Sputnik / AFP
ภายหลังจาก วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกคำสั่งปฏิบัติพิเศษทางการทหาร เริ่มสงครามโจมตียูเครนเต็มรูปแบบ ด้านยูเครนก็ได้ประกาศกฎอัยการศึก พร้อมต่อสู้ปกป้องประเทศสุดความสามารถ นับเป็นสงครามระหว่างประเทศในแถบยุโรปครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจนมาถึงยุคของสงครามเย็นของสองขั้วอำนาจ โดยขณะนี้สถานการณ์ยังคงตึงเครียดรุนแรง และมีการสูญเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลกต่างเฝ้าจับตาและติดตามอย่างใกล้ชิด
ภาพจาก Russian Defence Ministry / AFP
ปูติน ผู้นำแห่งมหาอำนาจ รัสเซีย
จากถ้อยแถลงของปูติน ที่ประกาศกร้าวว่า "ใครก็ตามที่พยายามขัดขวางเรา สร้างภัยคุกคามต่อประเทศ และประชาชนของเรา จะต้องรู้ว่า รัสเซียจะตอบโต้กลับอย่างทันที และจะนำไปสู่ผลที่ตามมาอย่างคุณไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์"
ปูติน ส่งคำอย่างเฉียบขาดแสดงอิทธิพลเน้นย้ำว่า หากมีประเทศใดเข้ามาแทรกแซงรุกรานโจมตี จะนำไปสู่การทำลายล้าง และผลที่ตามมาอันน่าสยดสยอง ทั้งยังกล่าวเสริมว่า "รัสเซียเป็นหนึ่งในมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพมากที่สุด และยังมีความได้เปรียบในด้านอาวุธล้ำสมัยมากมาย"
ภาพจาก Russian Defence Ministry / AFP
สถานการณ์ของยูเครน
รัฐบาลยูเครนกล่าวเพียงว่า ต้องการสันติภาพและจะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ในขณะที่ถูกรัสเซียโจมตีรอบด้านทั้งทางบก อากาศ และทางทะเล กองทัพรัสเซียระดมยิงขีปนาวุธและปืนใหญ่ระยะไกล เสียงระเบิดและไซเรนดังก้องทั่วประเทศ รวมทั้งเมืองหลวง ล่าสุด ทางการยูเครนรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 57 ราย เป็นทั้งทหารและพลเรือน และบาดเจ็บ 169 ราย
ด้านสหรัฐอเมริกา และมหาอำนาจอื่น ๆ ได้ให้คำมั่นที่จะคว่ำบาตรรัสเซียอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้ส่งกองกำลังของตนเข้ามา
ภาพจาก Sergei SUPINSKY / AFP
รัสเซีย คลังแสงอาวุธสุดโหด
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 เว็บไซต์อินดิเพนเดนต์ เผยรายงานประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องคลังแสงอาวุธของรัสเซีย ที่ได้ชื่อว่า มีคลังนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งแม้ว่ารัสเซียจะลดจำนวนคลังอาวุธนิวเคลียร์ลงอย่างมากนับตั้งแต่สงครามเย็น แต่รัสเซียก็ยังคงรักษาคลังเก็บหัวรบนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตามรายงานขององค์กรวิทยาศาสตร์ปรมาณู (Bulletin of the Atomic Scientists) ข้อมูลปี 2565 ระบุว่า รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 4,447 ลำ โดย 1,588 ลำ ถูกนำไปใช้ในขีปนาวุธและฐานเครื่องบินทิ้งระเบิดหนัก ทั้งนี้ ยังมีหัวรบเชิงกลยุทธ์อีกประมาณ 977 ลำ ได้แก่ ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำ (SLBMs) และเครื่องบินทิ้งระเบิดหนัก รวมทั้ง หัวรบสำรองนอกยุทธศาสตร์ 1,912 ลำ
ดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย เผยว่า กองกำลังนิวเคลียร์เชิงกลยุทธ์ของรัสเซียได้มีการฝึกซ้อมทดสอบขีปนาวุธ รวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-95 และเรือดำน้ำ พร้อมทั้งระบุว่า ผู้อนุมัติการทดสอบนี้มีเพียงผู้นำสูงสุดคนเดียว โดยรัสเซียมีฐานขีปนาวุธที่รู้จักเกือบ 20 แห่ง และมีฐานทัพขีปนาวุธข้ามทวีป ชื่อว่า ฐานดัมบารอฟกซี ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานทัพที่ใกล้ยูเครนที่สุด
ขณะที่ ยูเครน แม้ว่าจะเหลืออาวุธนิวเคลียร์จำนวนมากหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อปี 2534 แต่ยูเครนตัดสินใจยกเลิกนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ ภายใต้บันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ ปี 2537 โดยได้รับการรับรองความมั่นคงของประเทศจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และรัสเซีย
อย่างไรก็ดี รัสเซียได้ปรับใช้ยานพาหนะแบบสองระบบ ที่สามารถยิงอาวุธนิวเคลียร์ได้ใกล้กับยูเครน แต่ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า รัสเซียได้ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ หรือหน่วยปฏิบัติการนิวเคลียร์ และรัสเซียก็ไม่ได้ประกาศแผนใด ๆ ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์
รัสเซียได้เน้นย้ำว่า การครอบครองว่าอาวุธนิวเคลียร์ของตนนั้น "มีไว้เพื่อการป้องปราม ไม่ใช่เพื่อรุกราน"
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่สงสัยว่า คลังแสงของอาวุธที่น่ากลัวเหล่านี้ของรัสเซีย สามารถนำมาใช้ในการป้องกันได้ทั้งทางน้ำ บก และอากาศ ทว่ารัสเซียไม่เคยเปิดเผยจำนวนและชนิดของอาวุธในคลังที่แน่นอน ค่าประมาณแต่ละแหล่งมีความแตกต่างกัน
ภาพจาก Sergei SUPINSKY / AFP
ผลลัพธ์สงคราม รัสเซีย - ยูเครน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ว่าการโจมตีครั้งใหญ่ของรัสเซียครั้งนี้จะไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์ แต่คาดว่ายูเครนจะต้องเผชิญกับศึกหนักและผลกระทบที่รุนแรง ด้านประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ร้องเตือนว่า "การยั่วยุใด ๆ ก็ตาม ประกายไฟใด ๆ ก็ตาม สามารถจุดไฟที่จะทำลายทุกสิ่งได้"
ด้านเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำลังทหารรัสเซียอย่างน้อย 150,000-190,000 นาย ถูกส่งมาปิดล้อมชายแดนในสถานะเตรียมพร้อมขั้นสูง ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประมาณการว่า อาจมีผู้เสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้มากถึง 50,000 คน และผู้คนประมาณ 5 ล้านชีวิต อาจต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Independent, Aljazeera, Express