ดราม่าสุด นิสิตมหาวิทยาลัยดังไปฝึกงานโรงแรมก่อนเรียนจบ แต่โดนใช้งานเกินหน้าที่ จนพูดกับผู้บริหารตรง ๆ มาทำเองสิ และโรงแรมต้องส่งตัวกลับ พบทางคณะก็ไม่ช่วยต่อ บอกให้ไปฝึกงานใหม่ปีหน้า กลายเป็นว่าเรียนจบช้ากว่าเพื่อนอีก สรุปใครผิดล่ะทีนี้
กำลังเป็นดราม่าร้อนปุด ๆ ในโลกออนไลน์ โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565 นิสิตฝึกงานจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ขอความว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมเมื่อไปฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ถูกใช้เกินหน้าที่ จึงทำให้มีปากเสียงกับผู้บริหารของโรงแรม
นิสิตเผย ไปฝึกงานกับโรงแรม แต่โดนใช้งานหนัก ถึงกับทนไม่ไหว บอกมาทำเองสิ
ทั้งนี้ นิสิตคนนี้เผยว่า ตนได้ไปฝึกงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่พบว่าทางโรงแรมใช้ตนเกินหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้ จากหน้าที่หนึ่งมาทำหน้าที่หนึ่งตนจึงบอกผู้บริหารผ่านไลน์ว่า "มาทำเองสิ" นั่นทำให้ทางโรงแรมส่งตัวนิสิตฝึกงานกลับ
ทางนิสิตฝึกงาน จึงได้ไปติดต่อฝึกงานกับที่อื่น ระหว่างนั้นก็คุยกับอาจารย์ และอาจารย์บอกว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวลา 3 สัปดาห์ในการพิจารณา
แต่ปรากฏว่า เมื่อทางคณะพิจารณา กลับไม่ออกเอกสารให้ และมองว่านิสิตเป็นฝ่ายผิด ให้นิสิตไปฝึกงานใหม่ในปีหน้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นิสิตคนนี้เสียเวลาไป 1 ปีเต็ม ๆ และส่อแววจบไม่ทันเพื่อน
คณะลงความเห็น ไม่ให้ฝึกงานต่อ ทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ-ไม่เคารพคนทำงานด้วยกัน
นอกจากนี้ นิสิตคนนี้ยังได้เผยบันทึกข้อความผลการพิจารณาจากทางคณะ ซึ่งทางคณะลงความเห็นว่า นิสิตประพฤติตัวไม่เหมาะสม ก้าวร้าวกับผู้บริหารของโรงแรม
- หากนิสิตไม่เห็นด้วย ควรแสดงออกอย่างมืออาชีพ ไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของสถานฝึกประสบการณ์
- นิสิตต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสถานฝึกงานอย่างเคร่งครัด
- นิสิตต้องเลี่ยงการนินทาว่าร้ายผู้บริหารหรือบุคลากร เมื่อเกิดปัญหาควรปรึกษาขอความช่วยเหลือจากผู้แทนหน่วยงานหรืออาจารย์ที่คณะ
- เคารพและปฏิบัติต่อผู้บริการและพนักงานในสถานที่ฝึกงานเท่ากับอาจารย์ของตน
- มีความสัมพันธ์กับบุคลากรอย่างจริงใจ และพึงระลึกว่า นิสิตทุกคนเป็นผู้แทนคณะ พฤติกรรมของนิสิตรุ่นพี่ ส่งผลต่อนิสิตที่จะไปฝึกงานรุ่นต่อไปด้วย
นอกจากนี้ นิสิตยังทำตัวขัดกับระเบียบของมหาวิทยาลัย เรื่องการปฏิบัติตัวเป็นสุภาพชน ไม่ประพฤติปฏิบัติตัวในเรื่องที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือมหาวิทยาลัย และทำให้นิสิตฝึกงานไม่ครบในปี 2564 และให้ไปฝึกงานใหม่ในภาคการศึกษาปลายปี 2565
นิสิตชี้ สิ่งที่ต้องการคือการปกป้องจากทางคณะ แล้วอย่างนั้นอาจารย์จะมีไว้ทำไม
อย่างไรก็ตาม นิสิตคนดังกล่าวได้ออกมาบอกว่า สิ่งที่ตนต้องการคือการช่วยเหลือจากทางคณะ เพราะตนได้ไปติดต่อกับสถานที่ฝึกงานใหม่แล้ว และสถานที่ฝึกงานใหม่ก็พร้อมรับ ตนยอมรับว่าตนทำผิดที่ไปพูดกับผู้บริหารโรงแรมแบบนั้น แต่ตนพูดดี ๆ กับคณะ คณะก็ไม่ช่วย ตนติดต่อฝึกงานตั้งแต่สัปดาห์แรก เขาก็ไม่ช่วย และพอถูกส่งตัวกลับ ตนก็ดีใจที่ได้กลับ แต่อยากให้คณะช่วยออกมาทำอะไรช่วยเหลือตนบ้าง
สุดท้าย ทางนิสิตตั้งคำถามว่า ทางคณะจะมีอาจารย์ไว้ทำไม แทนที่จะช่วยนิสิตกลับหิ้วกระเช้าไปไหว้ขอโทษโรงแรม และขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ด้วย
เสียงแตกเป็น 2 ฝั่ง ไปทำงานแล้วโดนกดขี่ แบบนี้แฟร์ไหม หรือจบที่ควรคุยดี ๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน
เมื่อนิสิตโพสต์เรื่องนี้ออกไป ก็ปรากฏว่ามีคนเข้ามาคอมเมนต์กันมากมาย โดยเฉพาะตำหนินิสิตคนนี้ที่ขอไปฝึกงานกับทางโรงแรมแท้ ๆ แต่กลับพูดใส่ผู้บริหารให้มาทำเอง และยังหวังจะให้มหาวิทยาลัยช่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หากฝึกงานไม่ผ่านก็รอฝึกงานใหม่ปีหน้าก็เท่านั้น การเรียนจบไม่ทันเพื่อนไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
นอกจากนี้ ยังมีคนบอกว่า ในโลกของการทำงานมีหลายอย่างที่ Job Description ไม่ได้เขียนไว้ แต่คนทำงานจำเป็นต้องทำ เช่นเดียวกันกับการฝึกงาน ที่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เงิน แต่คือประสบการณ์การทำงาน และทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งหากนิสิตนักศึกษาไปฝึกงาน และเจอกับสถานการณ์จริง ๆ คือการถูกใช้ให้ทำงานมากเกินหน้าที่ หรืองานยากเกินกว่าที่จะรับมือได้ หรือเจอหัวหน้างานไม่ดี การแก้ปัญหาด้วยการขอคำปรึกษาจากผู้บริหาร อาจารย์ รุ่นพี่ เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างลงตัวและไม่เจ็บทั้งฝ่ายที่ขอฝึกงาน และฝ่ายที่ให้ฝึกงาน จึงเป็นสิ่งที่สมควรทำ ไม่ใช่การที่พูดใส่ผู้บริหารว่า ให้มาทำเองสิ
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนมองว่า นักศึกษาฝึกงานส่วนใหญ่ มักจะถูกใช้ให้ทำงานเกินกว่าที่ได้รับ โดยเฉพาะงานที่ไม่มีใครอยากทำ และหลายบริษัทก็ถือว่านักศึกษาฝึกงานมาฝึกเอาประสบการณ์ จึงไม่ให้เงินค่าจ้าง จนทำให้นักศึกษาต้องควักเงินเองอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เกิดคำถามว่า แบบนี้บริษัทแฟร์กับนักศึกษาตรงไหน