หนุ่มโพสต์โวยสายการบินดัง ให้ชั่งน้ำหนักกระเป๋าทุกใบจนเกิน 7 กิโลกรัม ขาไปยอมซื้อโหลด พีคสุดตอนขากลับเหมือนเดิม สุดท้ายตกเครื่อง เจอชาวเน็ตด่าแรงโง่ก็เงียบไว้
วันที่ 5 เมษายน 2565 โลกออนไลน์พากันวิพากษ์วิจารณ์โพสต์ของหนุ่มรายหนึ่ง ที่ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินไปและกลับ หาดใหญ่ - กรุงเทพฯ ซึ่งทำให้เขาเกิดอาการหัวร้อนหลายรอบ โดยมีการระบุชื่อสายการบินชัดเจน และยังมีภาพชูนิ้วกลางใส่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินนั้นอีกด้วย แต่สุดท้ายกระแสสังคมพลิกไปทางตรงข้ามกับเจ้าของโพสต์ โดนทัวร์ลงจนต้องลบโพสต์ทิ้งไป
โดยหนุ่มผู้โดยสารเล่าว่า จองเครื่องบินสายการบินนี้ทั้งไปและกลับ สนามบินหาดใหญ่ - สุวรรณภูมิ ไม่ได้ซื้อโหลดกระเป๋าเพิ่ม ในตอนเช็กอินพนักงานให้ชั่งกระเป๋าลาก ซึ่งมีน้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัม พนักงานเลยแนะนำให้เอาของออกแล้วถือแยก จากนั้นชั่งอีกรอบน้ำหนักกระเป๋าก็ยังเกิน 7 กิโลกรัม ยังไงมันก็เกิน สุดท้ายจึงยอมไปซื้อโหลดกระเป๋า ราคา 1,000 กว่าบาท มีแค่ 20 กิโลกรัมเท่านั้น แพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินอีก เพราะจองตั๋วในราคา 800 กว่าบาท
เมื่อไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางกลับก็รู้แล้วว่าต้องเจอเรื่องน้ำหนักเกินอีกแน่ ๆ เลยแบ่งของส่งบริษัทขนส่งกลับไปบ้านก่อน เหลือแค่กระเป๋าลาก และกระเป๋าเป้ที่ใส่ แล็ปท็อปมาด้วยสะพายแยก
วันเดินทางกลับ 3 เมษายน 2565 เที่ยวบินรอบ 16.15 น. เช็กอินออนไลน์มาแล้ว แต่ไม่ได้โหลดตั๋วไว้ ทำให้ต้องไปเอาตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่ไปถึงสนามบินเกือบสาย 15.30 น. จึงต้องรีบไปเอาตั๋ว พนักงานให้ชั่งน้ำหนักกระเป๋า กระเป๋าลากที่เบาลงแล้ว ชั่งได้น้ำหนัก 6.3 กิโลกรัม
"ถามหน่อย 6.3 กิโล ไม่เกิน 7 ใช่ไหมล่ะ ก็ขึ้นเครื่องได้สิ แต่ !!! ผมมีเป้ที่ใส่แล็ปท็อปมาด้วย พนักงานเคาน์เตอร์เห็นจึงบอกให้ชั่งรวมด้วย กูแบบ ห๊ะ ! ต้องชั่งรวมด้วยเหรอวะ กระเป๋าถือแยกนะเห้ย คิดดูกระเป๋าลากที่ผมอุตส่าห์ทำให้เบาลง แต่ 6.3 กิโล มาบวกเพิ่มกระเป๋าเป้ มันก็เกินสิวะ !! หลายเป็น 9 กิโล เพิ่มมาตั้ง 3 กิโล"
ตอนนั้น Gate โหลดกระเป๋าปิดแล้วด้วย ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นโหลดแทนได้แล้ว แต่พนักงานไม่ช่วยอะไรเลย บอกแค่ต้องแยกของหรือทิ้งของเพื่อให้ชั่งน้ำหนักรวมไม่เกิน 7 กิโล แล้วจะทำได้ยังไงในเมื่อเป็นของสำคัญทั้งนั้น Gate ขึ้นเครื่องก็ใกล้จะปิดในไม่กี่นาที
สุดท้ายตกเครื่อง ต้องหาเที่ยวบินใหม่ ซึ่งจะไม่เอาสายการบินนี้แล้ว แต่จะเดินทางกลับหาดใหญ่ด่วนที่สุวรรณภูมิ มีแค่ 2 สายการบิน ซึ่งเมื่อไปเช็กราคาอีกสายการบิน ค่าตั๋ว 4,000 บาท ไม่รู้จะทำยังไง ไม่อยากเสียเงินเยอะ เลยเปิดจองสายการบินอื่นแล้วไปขึ้นที่สนามบินดอนเมือง ผมเลือกนั่งรถแท็กซี่ไปเพราะรีบ แต่ต้องซวยอีกเพราะโดนแท็กซี่เรียกค่าเหมาเดินทาง 700 บาท ก็ต้องยอมจ่ายเพราะรีบ
ระหว่างทางบนรถ นั่งคุยปัญหาที่เจอให้คนขับฟัง คนขับเห็นใจและลดค่าแท็กซี่ให้ 100 บาท กระทั่งถึงดอนเมือง ได้นั่งเครื่องกลับบ้านสักที สรุปไว้ว่าจะไม่ขึ้นเครื่องของ…… อีกแล้ว พอแล้ว แค่นี้มันก็ทำผมซวยเป็นทอด ๆ ได้แล้ว
เมื่อโพสต์นี้ถูกแพร่ออกไป ชาวเน็ตหลายคนเกิดอาการหัวจะปวดกับหนุ่มคนนี้ บางคนถึงขั้นดูถูกเลยว่าน่าจะเพิ่งขึ้นเครื่องบินครั้งแรก เพราะดูไม่รู้อะไรเลย เหมือนไม่รู้ธรรมชาติของการนั่งเครื่องและซื้อตั๋ว หากไปซื้อหน้าเคาน์เตอร์ก่อนการเดินทางจะแพงมากเป็นปกติอยู่แล้ว อีกทั้งเครื่องขึ้น 16.15 น. ไปถึง 15.30 น. ยังบอกว่าเกือบสาย ทั้งที่มันสายแล้ว แบบนี้ควรนั่งรถทัวร์ ขึ้นเครื่องเมื่อพร้อม !
ทั้งนี้ ตามกฎระเบียบเรื่องน้ำหนักกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง 7 กิโลกรัม คือต้องชั่งทุกใบอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่กระเป๋าถือของผู้หญิง ไม่มีคำว่า "กระเป๋าแยก" ซึ่งการที่มาโพสต์ด่าด้วยความฉุนเฉียวแบบนี้เหมือนโชว์โง่ ไม่ศึกษาข้อมูลก่อน คิดว่าตัวเองถูกมาก บ้างก็ด่าแรงว่าดูเสล่อ ถ้าโง่ก็แค่เงียบไว้ อ่านแล้วได้แต่เอิ่มมมม !!
ชาวเน็ตบางคนถึงขั้นว่าเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงหรือไม่ เพราะขนาดโดนแท็กซี่เรียกค่าโดยสารแบบเหมา ซึ่งผิดกฎหมาย แต่ไปชมเหมือนว่าเขาใจดีลดราคาให้ ทั้งที่มันผิดตั้งแต่เรียกเหมาแล้ว งานนี้เจ้าตัวโดนทัวร์ลงหนักมาก สุดท้ายต้านไม่ไหวต้องลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งไป หลายคนก็บอกให้ระวังจะโดนสายการบินเขาฟ้องด้วย ถ้าไม่โดนก็โชคดีไป
วันที่ 5 เมษายน 2565 โลกออนไลน์พากันวิพากษ์วิจารณ์โพสต์ของหนุ่มรายหนึ่ง ที่ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินไปและกลับ หาดใหญ่ - กรุงเทพฯ ซึ่งทำให้เขาเกิดอาการหัวร้อนหลายรอบ โดยมีการระบุชื่อสายการบินชัดเจน และยังมีภาพชูนิ้วกลางใส่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินนั้นอีกด้วย แต่สุดท้ายกระแสสังคมพลิกไปทางตรงข้ามกับเจ้าของโพสต์ โดนทัวร์ลงจนต้องลบโพสต์ทิ้งไป
โดยหนุ่มผู้โดยสารเล่าว่า จองเครื่องบินสายการบินนี้ทั้งไปและกลับ สนามบินหาดใหญ่ - สุวรรณภูมิ ไม่ได้ซื้อโหลดกระเป๋าเพิ่ม ในตอนเช็กอินพนักงานให้ชั่งกระเป๋าลาก ซึ่งมีน้ำหนักเกิน 7 กิโลกรัม พนักงานเลยแนะนำให้เอาของออกแล้วถือแยก จากนั้นชั่งอีกรอบน้ำหนักกระเป๋าก็ยังเกิน 7 กิโลกรัม ยังไงมันก็เกิน สุดท้ายจึงยอมไปซื้อโหลดกระเป๋า ราคา 1,000 กว่าบาท มีแค่ 20 กิโลกรัมเท่านั้น แพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินอีก เพราะจองตั๋วในราคา 800 กว่าบาท
เมื่อไปถึงกรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางกลับก็รู้แล้วว่าต้องเจอเรื่องน้ำหนักเกินอีกแน่ ๆ เลยแบ่งของส่งบริษัทขนส่งกลับไปบ้านก่อน เหลือแค่กระเป๋าลาก และกระเป๋าเป้ที่ใส่ แล็ปท็อปมาด้วยสะพายแยก
วันเดินทางกลับ 3 เมษายน 2565 เที่ยวบินรอบ 16.15 น. เช็กอินออนไลน์มาแล้ว แต่ไม่ได้โหลดตั๋วไว้ ทำให้ต้องไปเอาตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่ไปถึงสนามบินเกือบสาย 15.30 น. จึงต้องรีบไปเอาตั๋ว พนักงานให้ชั่งน้ำหนักกระเป๋า กระเป๋าลากที่เบาลงแล้ว ชั่งได้น้ำหนัก 6.3 กิโลกรัม
"ถามหน่อย 6.3 กิโล ไม่เกิน 7 ใช่ไหมล่ะ ก็ขึ้นเครื่องได้สิ แต่ !!! ผมมีเป้ที่ใส่แล็ปท็อปมาด้วย พนักงานเคาน์เตอร์เห็นจึงบอกให้ชั่งรวมด้วย กูแบบ ห๊ะ ! ต้องชั่งรวมด้วยเหรอวะ กระเป๋าถือแยกนะเห้ย คิดดูกระเป๋าลากที่ผมอุตส่าห์ทำให้เบาลง แต่ 6.3 กิโล มาบวกเพิ่มกระเป๋าเป้ มันก็เกินสิวะ !! หลายเป็น 9 กิโล เพิ่มมาตั้ง 3 กิโล"
ตอนนั้น Gate โหลดกระเป๋าปิดแล้วด้วย ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นโหลดแทนได้แล้ว แต่พนักงานไม่ช่วยอะไรเลย บอกแค่ต้องแยกของหรือทิ้งของเพื่อให้ชั่งน้ำหนักรวมไม่เกิน 7 กิโล แล้วจะทำได้ยังไงในเมื่อเป็นของสำคัญทั้งนั้น Gate ขึ้นเครื่องก็ใกล้จะปิดในไม่กี่นาที
สุดท้ายตกเครื่อง ต้องหาเที่ยวบินใหม่ ซึ่งจะไม่เอาสายการบินนี้แล้ว แต่จะเดินทางกลับหาดใหญ่ด่วนที่สุวรรณภูมิ มีแค่ 2 สายการบิน ซึ่งเมื่อไปเช็กราคาอีกสายการบิน ค่าตั๋ว 4,000 บาท ไม่รู้จะทำยังไง ไม่อยากเสียเงินเยอะ เลยเปิดจองสายการบินอื่นแล้วไปขึ้นที่สนามบินดอนเมือง ผมเลือกนั่งรถแท็กซี่ไปเพราะรีบ แต่ต้องซวยอีกเพราะโดนแท็กซี่เรียกค่าเหมาเดินทาง 700 บาท ก็ต้องยอมจ่ายเพราะรีบ
ระหว่างทางบนรถ นั่งคุยปัญหาที่เจอให้คนขับฟัง คนขับเห็นใจและลดค่าแท็กซี่ให้ 100 บาท กระทั่งถึงดอนเมือง ได้นั่งเครื่องกลับบ้านสักที สรุปไว้ว่าจะไม่ขึ้นเครื่องของ…… อีกแล้ว พอแล้ว แค่นี้มันก็ทำผมซวยเป็นทอด ๆ ได้แล้ว
เมื่อโพสต์นี้ถูกแพร่ออกไป ชาวเน็ตหลายคนเกิดอาการหัวจะปวดกับหนุ่มคนนี้ บางคนถึงขั้นดูถูกเลยว่าน่าจะเพิ่งขึ้นเครื่องบินครั้งแรก เพราะดูไม่รู้อะไรเลย เหมือนไม่รู้ธรรมชาติของการนั่งเครื่องและซื้อตั๋ว หากไปซื้อหน้าเคาน์เตอร์ก่อนการเดินทางจะแพงมากเป็นปกติอยู่แล้ว อีกทั้งเครื่องขึ้น 16.15 น. ไปถึง 15.30 น. ยังบอกว่าเกือบสาย ทั้งที่มันสายแล้ว แบบนี้ควรนั่งรถทัวร์ ขึ้นเครื่องเมื่อพร้อม !
ทั้งนี้ ตามกฎระเบียบเรื่องน้ำหนักกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง 7 กิโลกรัม คือต้องชั่งทุกใบอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่กระเป๋าถือของผู้หญิง ไม่มีคำว่า "กระเป๋าแยก" ซึ่งการที่มาโพสต์ด่าด้วยความฉุนเฉียวแบบนี้เหมือนโชว์โง่ ไม่ศึกษาข้อมูลก่อน คิดว่าตัวเองถูกมาก บ้างก็ด่าแรงว่าดูเสล่อ ถ้าโง่ก็แค่เงียบไว้ อ่านแล้วได้แต่เอิ่มมมม !!
ชาวเน็ตบางคนถึงขั้นว่าเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงหรือไม่ เพราะขนาดโดนแท็กซี่เรียกค่าโดยสารแบบเหมา ซึ่งผิดกฎหมาย แต่ไปชมเหมือนว่าเขาใจดีลดราคาให้ ทั้งที่มันผิดตั้งแต่เรียกเหมาแล้ว งานนี้เจ้าตัวโดนทัวร์ลงหนักมาก สุดท้ายต้านไม่ไหวต้องลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งไป หลายคนก็บอกให้ระวังจะโดนสายการบินเขาฟ้องด้วย ถ้าไม่โดนก็โชคดีไป