สลด ภาพถ่ายดาวเทียมยันชัด ศพในเมืองบูชา ถูกทิ้งเกลื่อนถนนตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม สวนทางคำอ้างจากรัสเซีย โบ้ยยูเครนจัดฉากเองหลังทหารรัสเซียถอนทัพ
ภาพจาก AFP PHOTO /SATELLITE IMAGE ©2022 MAXAR TECHNOLOGIES
วันที่ 4 เมษายน 2565
เว็บไซต์นิวยอร์กไทม์ส รายงานผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมที่ได้รับจาก Maxar Technologies บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เผยให้เห็นข้อมูลที่สวนทางกับคำกล่าวอ้างของรัสเซีย ซึ่งออกมาอ้างว่าภาพศพที่ถูกทิ้งเกลื่อนเมืองบูชา ของยูเครน เป็นการจัดฉากจากทางยูเครนหลังจากที่รัสเซียถอนกำลังทหารออกไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา โลกออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปที่ถ่ายโดยสมาชิกสภาท้องถิ่นของเมืองบูชา เผยให้เห็นศพของพลเรือนที่นอนกระจัดกระจายอยู่บนถนน สภาพศพบ้างก็ถูกมัดมือไพล่หลัง บ้างมีรอยกระสุนที่ศีรษะ แต่ทางกระทรวงกลาโหมของรัสเซียออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าศพเหล่านี้เพิ่งถูกนำมาวางทิ้งไว้บนถนน ภายหลังกองทัพรัสเซียถอนกำลังทหารออกจนหมดแล้วในวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา
ภาพจาก RONALDO SCHEMIDT / AFP
แต่จากการเปรียบเทียบคลิปดังกล่าวกับภาพถ่ายดาวเทียมที่นิวยอร์กไทม์สได้รับจาก Maxar Technologies เผยให้เห็นว่า มีอย่างน้อย 11 ศพที่ถูกทิ้งไว้บนถนนตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัสเซียยังยึดครองพื้นที่ และเมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายโดยละเอียดมากขึ้นเพื่อหาช่วงเวลาที่แน่นอน พบว่าวัถตุที่คล้ายศพมนุษย์เริ่มปรากฏอยู่บนถนนตั้งแต่วันที่ 9 - 11 มีนาคม
ภาพจาก Sergei SUPINSKY / AFP
ขณะเดียวกันข้อมูลจากอินดิเพนเดนท์ พบว่ายังมีภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยให้เห็นหลุมศพขนาดใหญ่ ปรากฏบริเวณใกล้ ๆ พื้นที่โบสถ์ในเมืองบูชา โดยปรากฏร่องลึกยาวประมาณ 13 เมตร ซึ่งทางโฆษกของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยว่าในหลุมศพขนาดใหญ่ที่พบในเมืองบูชานั้น เต็มไปด้วยศพของพลเรือนที่ถูกสังหาร โดยมีทั้งผู้ที่ถูกมัดมือและเท้า บางศพถูกยิงที่ท้ายทอย และบางศพถูกเผาไปครึ่งร่าง ราวกับมีคนพยายามซ่อนอาชญากรรมที่ก่อขึ้น แต่ไม่มีเวลาพอจะทำได้อย่างเหมาะสม
อนึ่ง ภายหลังจากกองทัพยูเครนเข้ายึดครองพื้นที่คืน พบว่ามีร่างของผู้เสียชีวิตอยู่บนถนนอย่างน้อย 20 ร่าง ขณะที่ก่อนหน้านี้นายกเทศมนตรีของเมืองบูชา ได้ออกมากล่าวว่าพวกเขาต้องฝังศพ 280 ศพลงในหลุมขนาดใหญ่ ส่วนพลเมืองที่ยังรอดชีวิต เพิ่งจะได้เพลิดเพลินกับขนมปังก้อนแรกในรอบ 38 วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก
นิวยอร์กไทม์ส,
อินดิเพนเดนท์