x close

วิเคราะห์ชีวิต ผิดตรงไหน หนุ่มทำโรงงาน 10 ปี หันมาทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน


       หนุ่มเล่าประสบการณ์ชีวิตพลิกผัน ทำงานโรงงานเป็น 10 ปี ทุกอย่างลงตัว กระทั่งหันมาทำธุรกิจโลจิสติกส์ได้ 3 ปี กลายเป็นคนหมดตัวและตกงาน ชาวเน็ตร่วมกันคิด จุดผิดพลาดอยู่ตรงไหนบ้าง

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          ในยุคโควิด 19 แบบนี้ การที่จะทำธุรกิจอะไรหลายอย่างค่อนข้างลำบากพอสมควร มีความเสี่ยงสูงมากกว่าสถานการณ์ปกติ ดังนั้น หากใครจะเริ่มทำธุรกิจอะไรในยุคนี้ ต้องประเมินความเสี่ยงพอสมควร ดังเช่นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

          วันที่ 1 มิถุนายน 2565 คุณ สมาชิกหมายเลข 6965621 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีการเล่าเรื่องราวในหัวข้อ "จากชีวิตทำงานโรงงานมา 10 ปี สุดลงตัว หันมาเดินเส้นทางธุรกิจโลจิสติกส์ได้ 3 ปี กลายเป็นคนหมดตัวและตกงาน"

          จุดเริ่มต้นเรื่อง เจ้าของกระทู้เล่าว่า ชีวิตของเขาหลังเรียนจบ ม.6 หรืออายุ 18 ปี ก็เข้ามาทำงานที่โรงงานเป็นพนักงานรายวัน เขามุ่งมั่นและตั้งใจทำงานไปเรื่อย ๆ ผ่านไป 10 ปี จนเป็นหัวหน้าแผนก ถือว่าชีวิตลงตัวมาก ๆ ยิ่งอยู่ตำแหน่งสูงงานยิ่งสบาย เข้างาน 6 โมงเช้า กลับบ่าย 3 โมง วันหนึ่งทำงานไม่เกิน 2 ชั่วโมง ที่เหลือนั่งเล่นโทรศัพท์ เงินเดือนได้ประมาณ 16,000 บาท ยังไม่รวมโอที เพียงเท่านี้ชีวิตก็อยู่ได้แล้ว

          สาเหตุที่เงินเดือน 16,000 บาท อยู่ได้สบาย ๆ นั่นเป็นเพราะไม่มีหนี้สิน บ้านไม่ได้เช่า และได้รับมรดกจากลุงอีก 4 แสนบาท

จุดเปลี่ยนของชีวิต


          อยู่มาวันหนึ่ง ความว่างจากการทำงานเข้าครอบงำ ทำให้เขาคิดว่า เห็นคนอื่นเขาจับทางธุรกิจแบบนั้นแบบนี้จนรวย เราเองก็มีเงินทุนก็อยากทำอะไรเองบ้าง จึงหันความสนใจมาศึกษาธุรกิจแฟรนไชส์จากขนส่งค่ายหนึ่ง และได้สอบถามเพื่อนสนิทที่เป็นพนักงานของบริษัทนั้น ทำให้ตนตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจโลจิสติกส์บ้าง

          สิ่งแรกที่ทำคือ เช่าตึก 1 คูหา ตกแต่งหน้าร้านจัดวางระบบ ใช้เงินประมาณ 3 แสนบาท จ้างหลานมาคอยดูแลร้าน ส่วนงานปกติก็ยังไม่ทิ้ง เลิกงานเสร็จค่อยมาดูร้านต่อ ผ่านไป 3 เดือนแรกลูกค้าไม่ค่อยมี ลูกค้าที่มีอยู่ส่วนใหญ่ได้จากเพื่อนพนักงานคนนั้นคนนี้ที่ดึงลูกค้ามาให้

          ผ่านไปอีกพักใหญ่ ก็ทราบข่าวจากพนักงานที่มารับของที่ร้านว่า คนวิ่งรถประจำเส้นทางนี้เพิ่งลาออกไป พร้อมแนะนำว่า เจ้าของกระทู้ควรออกรถกระบะตู้ทึบมาวิ่งเองเลย รายได้ของรถร่วมก็อยู่ประมาณ 3-5 หมื่นบาทต่อเดือน น้ำมันก็ใช้ของบริษัท ผลพลอยได้ที่สำคัญคือ เราอาจจะได้ลูกค้าที่มาส่งของร้านเราเพิ่มก็ได้ เพราะเราออกหน้างาน ขอเพียงอย่างเดียวคืออย่าให้บริษัทรู้ว่าเราทำร้านแฟรนไชส์อยู่

          สุดท้าย เจ้าของกระทู้ลาออกงานโรงงาน ไปสมัครงานที่บริษัทขนส่ง และได้ขับรถวิ่งส่งพัสดุแถวบ้าน ได้รับของจากร้านตัวเองเข้าคลัง และได้ใช้เงิน 1 แสนบาทที่เหลืออยู่ออกรถกระบะคันใหม่ ชีวิตหลังจากนี้ก็เปลี่ยนไป ทำงานหนักขึ้นกว่าตอนอยู่โรงงานเยอะ ต้องตื่นเช้า กลับดึก เพื่อบริหารงานขนส่งและบริหารร้านตัวเอง ไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตแบบชิล ๆ อีกแล้ว

          ผลตอบแทน 1 ปีแรกค่อนข้างดี รายได้เฉลี่ย 2 ทางเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นบาท แต่ข้อผิดพลาดนั่นคือ ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยเกินไป เอาเงินมาสนองความไม่มีเวลาพักของตัวเอง คิดว่าเงินเข้ามาอยู่ตลอด ไม่สำรองทุนคืนไว้

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ชีวิตไม่เป็นไปอย่างที่คิด เข้าสู่ปีที่ 2 รายได้ลดลง


          เมื่อคิดได้ ก็จะทำในปีที่ 2 แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะบริษัทปรับรายได้ของร้านแฟรนไชส์ลดลง 40% แล้วดึงลูกค้าให้พนักงานไปรับสินค้าเองถึงหน้าบ้าน โดยไม่ผ่านร้านแฟรนไชส์อีก

          สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก เมื่อบริษัทปรับลดรายได้พนักงานบริษัทอีก 30% เท่ากับว่า โดนลดรายได้ 2 ทาง ทั้งทางร้านแฟรนไชส์ และในฐานะพนักงานบริษัท รวม ๆ แล้วเงินหายไปเกือบครึ่ง ด้วยเหตุนี้ ตนจึงตัดสินใจขายรถกระบะคันเก่าราคา 2 แสนกว่า ๆ เอาเงินที่ได้มาใหม่ไปเปิดแฟรนไชส์อีกค่ายหนึ่ง

          ผ่านไป 7-8 เดือน สู้ไม่ไหว ลูกค้าหายหมด จนขอยอมแพ้ปิดกิจการร้าน ชีวิตเหลือแค่กระบะตู้ทึบกับงานขนส่งบริษัทเดิม รายได้ประมาณ 3-4 หมื่นบาทต่อเดือน หักผ่อนรถแล้วเหลือสบาย ๆ

แก้ปัญหายังไงก็ไม่จบ ปัญหาใหม่มาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ว่างงาน


          แต่ปัญหาทุกอย่างยังไม่จบ เพราะปี 2564 บริษัทเปลี่ยนเรตราคาค่าจ้างรถร่วมลงอีกเหลือประมาณ 2 หมื่นบาทต่อเดือน ถ้าได้เงินเท่านี้ขออยู่โรงงานต่อดีกว่า ไม่ต้องเหนื่อยด้วย หนี้ก็ไม่มี

          เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เขาถูกเพื่อนชวนไปวิ่งงานบริษัทเดียวกัน รายได้ประมาณ 3 หมื่นบาท คุยกับ HR แล้ว ทางนั้นบอกว่า อีก 5 วันมาวิ่งงานได้เลย การันตีได้งานแน่นอน ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากบริษัทเก่าวันนั้นเลย แต่พอถึงวันเริ่มงานจริง บริษัทใหม่กลับเทลูกน้องกะทันหัน ทำให้ตกงานไปฟรี ๆ และตาสว่างขึ้นมาว่า ธุรกิจขนส่งพบปัญหาหมด ไม่ใช่แค่บริษัทเก่าบริษัทเดียว

          ตอนนี้เขาว่างงานกว่า 3 เดือน ไปสมัครงานมา 5 บริษัทขนส่งก็ไม่มีที่ไหนรับ แต่เงินไม่มีหนี้ต้องจ่าย ต้องเอาสร้อยทอง 2 บาทมาขาย หางานรายวันทำไปก่อน นับเป็นบทเรียนราคาแพงจริง ๆ ไม่น่าเลย

ความเห็นชาวเน็ต ชื่นชม


          ชาวเน็ตที่เป็นท็อปคอมเมนต์ของเรื่องนี้ โพสต์ชื่นชมเจ้าของกระทู้ในความกล้าหาญที่ยอมรับความผิดพลาด และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ทีเดียว แต่ได้ประสบการณ์ชีวิตมาเพียบ

          จุดผิดพลาดของเจ้าของกระทู้คือ ขาดการวางแผน หรือการประเมินสถานการณ์ในมุมที่เลวร้ายที่สุด ไม่มีแผนสำรองเตรียมรับมือเอาไว้ หลังจากนี้ควรปล่อยวาง หาทางแก้ปัญหากันต่อ ถ้าหากทำอะไรไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องจมให้ลง รถส่งไม่ไหว ขายก็ต้องขาย งานไม่มีทำก็หางานอื่นเลี้ยงชีวิตไปก่อน อายุไม่มาก ยังสร้างตัวใหม่ได้ อีกทั้งยังมีบ้านอยู่ถือว่าดีแล้ว

          อีกคอมเมนต์ ระบุจุดผิดพลาดของเจ้าของกระทู้ไว้ว่า จุดที่ทำให้พังคือ ปีแรกใช้เงินฟุ่มเฟือย ถ้าหากเก็บทุนเอาไว้ แม้ปีที่ 2 รายได้จะลดลง ก็ยังมีเงิน 4 แสนตรงนี้อยู่ จุดที่สองคือ ขายรถแล้วไปเปิดอีกบริษัท ทั้งที่รู้ปัญหาของขนส่งแล้วว่า บริษัทแม่ดึงลูกค้าจากหน้าบ้าน

          ส่วนอีกคอมเมนต์ก็ชื่นชมว่า เจ้าของกระทู้ที่มาเล่าแบบนี้ นั่นคือ ความกล้าหาญ ขอให้บทเรียนนี้ส่งเจ้าของกระทู้ไปข้างหน้า

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน

ทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วิเคราะห์ชีวิต ผิดตรงไหน หนุ่มทำโรงงาน 10 ปี หันมาทำโลจิสติกส์ 3 ปี หมดตัวและตกงาน อัปเดตล่าสุด 1 มิถุนายน 2565 เวลา 10:43:45 37,826 อ่าน
TOP