มงคลกิตติ์ ยันคดีแตงโม ฟ้อง 100% หลังมีข่าวแม่เปลี่ยนใจ ไม่ฟ้องคดีฆาตกรรมแล้ว ยันต้องทำคดีให้รอบคอบ อีกฝ่ายจะฟ้องกลับไม่ได้ เล็งฟ้องแพ่งเรียกอีก 100 ล้าน
วันที่ 11 มิถุนายน 2565 ข่าวช่อง 3 มีรายงานถึงกรณีกระแสข่าว นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน หรือคุณแม่แตงโม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการหนึ่งว่าเครียดกับคดี และจะไม่ยื่นฟ้องคดีฆาตกรรมแล้ว เนื่องจากเห็นว่าหลักฐานยังไม่ชัดเจน และหากยื่นฟ้องไป แพ้คดี คนที่จะถูกดำเนินคดีก็คือตนเอง
ล่าสุด นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการดูแลคดี และเป็นที่ปรึกษาให้คุณแม่แตงโม ยอมรับว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และจะเข้าไปพูดคุยกับคุณแม่ว่าเป็นความจริงหรือไม่ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เผยว่าหากแม่เปลี่ยนใจไปมา คนที่เสียหายก็จะเป็นแม่ แต่ในส่วนของตนก็จะเดินหน้าฟ้องต่อไป เพราะมีหลักฐานชัดเจน โดยจะยื่นฟ้องวันที่ 18 มิถุนายนนี้
ทั้งนี้ พบว่าผู้สื่อข่าวยังไม่สามารถติดต่อคุณแม่แตงโมได้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
ขณะที่ต่อมานายมงคลกิตติ์ ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงกระแสข่าวดังกล่าว เผยว่า ในการดำเนินคดีอาญา ในการฟ้องตรงเอง พวกตนจะมีการประชุมสรุปรวบรวมพยานหลักฐานที่มีทั้งหมด ทั้งพยานบุคคล พยานนิติวิทยาศาสตร์ พยานผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องบาดแผล เรื่องยา เรื่องวงจรปิด และอีกหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของแตงโม ในช่วงเย็นวันที่ 14 มิถุนายน
โดยจะมีทีมกฎหมาย 3 ทีม คือ ทีมของนายอัจฉริยะ ทีมของพรรคไทยศรีวิไลย์ และทีมของอดีตผู้พิพากษาชนบท ในการตรวจร่างคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 หรือ 290 ซึ่งจะต้องมาถกกันอีกครั้งว่าจะฟ้องมาตราใด และต้องไปดูคำพิพากษาเก่าประกอบกัน
และหากมีกรณีที่ศาลยกฟ้อง เรื่องการฟ้องกลับ ฟ้องเท็จ ก็ต้องตรวจดูว่าพยานหลักฐานที่เราได้มา มีที่มาที่ไปไหม พยานบุคคลเป็นพยานที่ชอบด้วยกฎหมายไหม ให้การตามความจริงหรือไม่ โจทย์กับคนเบิกความนั้น เบิกความโดยสุจริตหรือไม่ ยืนยันว่าการฟ้องกลับไม่ใช่จะทำได้ง่าย ๆ
การที่จำเลยจะฟ้องกลับได้ ก็ต้องรอคดีหลัก ซึ่งต้องทำอย่างรอบคอบเพื่อให้คุณแม่ปลอดภัย และการเบิกความครั้งนี้นายอัจฉริยะเป็นคนเบิกความแทนคุณแม่ทั้งหมด ส่วนตนทำหน้าที่เป็นพยาน ทีมงานต้องทำคดีอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เขาฟ้องกลับได้
โดยจะมีทีมกฎหมาย 3 ทีม คือ ทีมของนายอัจฉริยะ ทีมของพรรคไทยศรีวิไลย์ และทีมของอดีตผู้พิพากษาชนบท ในการตรวจร่างคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 หรือ 290 ซึ่งจะต้องมาถกกันอีกครั้งว่าจะฟ้องมาตราใด และต้องไปดูคำพิพากษาเก่าประกอบกัน
และหากมีกรณีที่ศาลยกฟ้อง เรื่องการฟ้องกลับ ฟ้องเท็จ ก็ต้องตรวจดูว่าพยานหลักฐานที่เราได้มา มีที่มาที่ไปไหม พยานบุคคลเป็นพยานที่ชอบด้วยกฎหมายไหม ให้การตามความจริงหรือไม่ โจทย์กับคนเบิกความนั้น เบิกความโดยสุจริตหรือไม่ ยืนยันว่าการฟ้องกลับไม่ใช่จะทำได้ง่าย ๆ
การที่จำเลยจะฟ้องกลับได้ ก็ต้องรอคดีหลัก ซึ่งต้องทำอย่างรอบคอบเพื่อให้คุณแม่ปลอดภัย และการเบิกความครั้งนี้นายอัจฉริยะเป็นคนเบิกความแทนคุณแม่ทั้งหมด ส่วนตนทำหน้าที่เป็นพยาน ทีมงานต้องทำคดีอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เขาฟ้องกลับได้
ส่วนคดีแพ่ง ต้องรอเอกสารการจัดงานศพทั้งหมดจากผู้จัดการส่วนตัวของ อั้ม พัชราภา และรวบรวมเอกสารเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินของแตงโมทั้งหมด ให้มีความครบถ้วน จึงจะฟ้องแพ่ง โดยจะมีการคำนวณรายได้ตั้งแต่อายุ 37 - 50 ปี คาดว่ามีรายได้ ประมาณ 200 ล้าน แต่จะฟ้องเรียกค่าเสียหาย แค่ 100 ล้าน เพราะโดยส่วนใหญ่ศาลจะให้ครึ่งเดียว โดยจะมีการฟ้องแพ่งหลังฟ้องคดีอาญา
ทั้งนี้ นายมงคลกิตติ์ ขอสื่อทุกช่องอย่าโทร. ไปหาคุณแม่ส่วนตัว เพราะเรื่องข้อกฎหมายแม่อาจจะอธิบายได้ไม่ครบถ้วน เพราะหลาย ๆ อย่างทีมกฎหมายเป็นคนดูแล และแม่มอบอำนาจไปแล้ว
ดังนั้นขอยืนยันด้วยความมั่นใจว่าฟ้อง 100% แต่จะฟ้องมาตราไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง และพยานที่ต้องมีการรับรองจากส่วนราชการ รวมถึงพยานจากมือถือของแตงโม จะต้องได้รับการรับรอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษก่อนที่จะนำมาเป็นพยานในศาลได้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
ภาพจาก Instagram melonp.official
ขอบคุณข้อมูลจาก มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์, ข่าวช่อง 3
