ทัวร์ลงกระหน่ำไม่หลับไม่นอน ร้านขนมร้านหนึ่งโพสต์ เงินเดือน 15,000 ควรประหยัดให้ถึงที่สุด งดกาแฟรถเข็น ไปอยู่หอพักเดือนละ 3,500 เก็บเงินที่จะใช้กินหมูกระทะไปเปิดพอร์ตลงทุน คนวิจารณ์สนั่น แบบนี้คือสอนคนจนให้จนกว่าเดิมหรือเปล่า ?

ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาวะเงินเฟ้อแทบจะส่งผลกับทุกคน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร แพงขึ้นรายวัน แต่เงินเดือนที่ได้นั้นกลับเท่าเดิม ส่งผลให้ทุกคนต้องประหยัดกันสุดฤทธิ์เท่าที่จะทำได้
แต่ล่าสุด กลับมีดราม่าไฟท่วมแบบทัวร์ลงสนั่น เมื่อเจ้าของร้านขนมแห่งหนึ่ง ออกมาบอกว่าเธอซึ่งเคยเป็นนักศึกษาด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และเคยเป็นถึงผู้จัดการของธนาคารชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ถึงการบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 ที่ตัดทุกสรรพสิ่งในชีวิต ตั้งแต่กาแฟ ค่าเช่า จนคนสงสัย ใช้ชีวิตแบบนี้มันลำบากไปไหม
แต่ล่าสุด กลับมีดราม่าไฟท่วมแบบทัวร์ลงสนั่น เมื่อเจ้าของร้านขนมแห่งหนึ่ง ออกมาบอกว่าเธอซึ่งเคยเป็นนักศึกษาด้านการเงินที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และเคยเป็นถึงผู้จัดการของธนาคารชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ถึงการบริหารเงินสำหรับคนเงินเดือน 15,000 ที่ตัดทุกสรรพสิ่งในชีวิต ตั้งแต่กาแฟ ค่าเช่า จนคนสงสัย ใช้ชีวิตแบบนี้มันลำบากไปไหม
ชี้ เงินเดือน 15,000 ให้หาห้องเช่า 3,500 บาท - งดไปอยู่ไกล คอนโดสนามบินน้ำคือมากไปแล้ว
ทั้งนี้ เธอเผยว่า มีคนมาถามว่าเงินเดือน 15,000 บาท ไม่มีเงินเก็บเลย จะทำยังไงดี ซึ่งอย่างแรกเลยคือต้องมองที่ค่าเช่า ถ้าเงินเดือน 15,000 หักประกันสังคมเหลือ 14,250 บาท ค่าเช่าห้องไม่ควรเกิน 25% ของเงินเดือน ดังนั้น การจะเช่าหอพักมีแอร์ มีเครื่องทำน้ำอุ่น จึงไม่ควร ควรไปหาหาพักราคาไม่เกิน 3,500 บาทต่อเดือน ซึ่งจะได้หอพักห้องพัดลม หรือไม่ก็หาคนมาหาร
นอกจากนี้ เธอยังยกตัวอย่าง บางคนคอนโดอยู่สนามบินน้ำ นั่งบีทีเอสสามต่อ 150 บาท ต่อวินมอเตอร์ไซค์มาทำงาน แล้วแบบนี้คิดว่าเงินเดือน 15,000 จะพอเหรอ
"โอ๊ย ผมขำมาก พี่พูดอะไรคิด คิด คิด ใช้สมองแทนคนจนหน่อย ! ผมล่ะขำกร๊าก !
ฉันยืนเอียงคอ เท้าสะเอว อ้าว รองเท้าคู่ใหม่เธอ 4,000 กว่าบาท กระเป๋า cross-body ที่เอ็งสะพายก็เกือบหมื่นแล้วไหม ตอนเย็น ๆ เอ็งก็ถ่ายไลฟ์ที่ infinity pool ที่คอนโดแถวนนท์ ที่เอ็งผ่อนเดือนละ xxxx บาท อ้อ...มีหมากระเป๋าตัวเล็ก ๆ เอาไว้อุ้มเล่นอวดโชว์เพื่อนในเฟซบุ๊กด้วยนะเออ ชีวิตดี๊ดีขนาดนี้ จะมีเงินเก็บไหม ? ทำไมเธอไปผ่อนคอนโดแถวนนท์นะ ? อ๋อ...เพราะมันมี infinity pool แล้วก็มีวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ดูหรูหราดีฮะ
เริ่ด…"

กาแฟรถเข็น-หมูกระทะ ตัดได้ต้องตัดไป เอาเงินไปเปิดพอร์ตลงทุนดีกว่า
อย่างที่สองคือ เราไม่จำเป็นต้องกินทุกอย่างที่อยากกิน กาแฟรถเข็น กินวันละแก้ว แก้วละ 40 บาท ตกเดือนละ 1,200 บาท อันนี้ให้ตัดไป เพราะถ้าเงินกินกาแฟ ยังอดทนเอามาเป็นเงินเก็บไม่ได้ก็แย่แล้ว แบบนี้เหมือนคนไม่มีเป้าหมายชัดเจน มองอะไรก็เป็นอุปสรรคไปหมด ไหนจะค่าเบียร์ ค่าหมูกระทะอีก
หากอยากกินกาแฟรถเข็นเดือนละ 1,200 บาท ให้เอาเงินนี้เก็บไว้เพื่อไปหาหมอดีกว่าไหม หากจะกินหมูกระทะเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งหมด 1,500 บาท 1 ปี เสียเงินตรงนี้ 18,000 บาท หรือควรเอาเงินตรงนี้ไปเปิดพอร์ตลงทุน หรือเอาไปซื้อสวนทุเรียนที่บ้านเกิด ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นทางเลือกในชีวิต คุณเลือกเองได้
นอกจากนี้ ควรทำบัญชีรายรับรายจ่าย เขียนลงไปในสมุดว่าเราใช้จ่ายอะไรบ้าง แยกให้ออกว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น อะไรคือสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ และอะไรคือสิ่งที่อยากได้เพื่อสนองกิเลส
ยกตัวอย่างตัวเอง ไปอยู่อเมริกา ทำงานพาร์ตไทม์-งดดูทีวี-กินโครงไก่ต้มเศษแซลมอน
นอกจากนี้ เธอยังยกตัวอย่างว่า ตอนที่เธอไปเรียน MBA ที่อเมริกา เธอก็รู้จักประหยัดและใช้เงิน เช่น
- ทำอาหารเองทุกมื้อ ด้วยการปั่นจักรยานไปซื้อโครงไก่ราคา 35 บาท และเศษแซลมอน 120 บาท มาผัดกับบรอกโคลี
- แบ่งเก็บเงิน 2 ส่วนคือ 20% ใช้ใน 3 เดือน อีก 80% เป็นเงินเก็บในบัญชีออมทรัพย์และฝากประจำ ตามช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงิน
- เวลาว่างไปเล่นกีฬา อ่านหนังสือ บางทีไปอ่านที่ร้านหนังสือแล้วสูดกลิ่นกาแฟสตาร์บัค ไม่ดูทีวี ไม่ช้อปปิ้งอย่างบ้าคลั่งทุกครั้งที่มีของเซล
- ทำงานพาร์ตไทม์ในร้านที่ไม่มีคนไทย เพราะเป้าหมายคือมาเรียนและฝึกภาษา
- หาห้องเช่าราคาถูก และหารูมเมตมาอยู่ด้วย แม้จะต้องหงุดหงิดกับรูมเมต เพราะอยากประหยัด
- ไม่เคยซื้อกาแฟสตาร์บัค เพราะถือเป็นของหรูหรา
เธอโชคดีที่ไม่ได้เจ็บป่วยที่อเมริกา เพราะถ้าเจ็บป่วยก็ต้องมีเงินสำรองอีก

เราต้องทำงานให้หนักกว่าคนอื่น-ได้เงินเอาไปเก็บใส่โอ่ง เอามาลงคริปโตคือเสี่ยงเกินไป
อีกทั้งถ้ามีเงินเก็บแล้ว ต้องรู้จักนำไปลงทุน เช่น ถ้าเอาไปลงคริปโตทั้งหมด ก็เสี่ยงจะขาดทุนหมดง่าย ๆ อะไรที่มันดูดีเกินจริงก็อย่าไปยุ่งกับมัน ตอนที่เธอสอบเป็น Certified Financial risk management ก็มีกรณีศึกษามากมาย แต่ทุกเคสคือล่อให้คนมาติดกับ เอาเงินมาลงกันมาก ๆ ใครลุกช้าคนนั้นจ่ายรอบวง
สุดท้าย เธอบอกว่า แม้เธอจะทำร้านขนม แต่ก็ยังกวาดพื้นร้านเอง เพราะเธอต้องทำงานให้หนักกว่าคนอื่น ให้รู้ไปว่า ถ้าที่ทำงานไม่มีเธอ จะวุ่นวายแค่ไหน, ตกเย็นก็ไปออกกำลังกายที่สวนลุมพินี ยืดเส้นยืดสาย หมอนวดคลายเส้นไม่มีวันได้กินเงินฉัน, หุ่นดีหุ่นสวยเพราะออกกำลังกาย ไม่มีไขมันส่วนเกิน ตอนนั้นใส่เสื้อผ้าถูก ๆ ก็ดูดีได้ และเงินเดือน 15,000 เหลือเก็บเดือนละ 3,000 ผ่านไป 3 ปีมีเงิน 72,000 บาท เก็บใส่โอ่งก็ได้ ไม่ต้องเอาไปลงคริปโต ทำง่าย ๆ ไม่ต้องคิดมาก
ทัวร์กระหน่ำ ไฟลุกท่วม คนมอง สอนคนจนให้จนกว่าเดิม-ทุกอย่างในชีวิต คือ สินค้าฟุ่มเฟือย
หลังจากที่เธอโพสต์ข้อความลงไป ก็กลายเป็นไฟลุกท่วม มีคนมาวิจารณ์ทันที บางคนบอกว่าการมีวิธีคิดแบบนี้ คือการลดคุณภาพชีวิตของตัวเอง ปัดให้เรื่องค่าครองชีพเป็นเรื่องส่วนบุคคล มากกว่าจะไปมองว่ารัฐควรเข้ามาช่วยประชาชนในเรื่องค่าครองชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ในกระเป๋า ควบคุมราคาสินค้า ช่วยเหลือเรื่องค่าเดินทาง ปกติคนจนก็ลำบากในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ยิ่งสอนแบบนี้ยิ่งทำให้คนจนจนลงกว่าเดิมอีก
นอกจากนี้ หลายคนยังมองว่า หลายอย่างที่เธอบอกนั้น หากในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบากมาก เช่นการอยู่หอพักราคา 3,500 บาท ห้องพัดลม ซึ่งแบบนั้นจะต้องเสี่ยงไปอยู่ในชุมชนแออัด หรือหอพักที่อยู่ในซอยลึก เปลี่ยว มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูง เหมือนเป็นการเอาชีวิตไปเสี่ยง หรือการที่ตัดสิ่งสันทนาการต่าง ๆ ในชีวิตออกไปทั้งหมด แม้กระทั่งกาแฟรถเข็นก็ต้องตัดออกไป ย่อมทำให้ชีวิตมีแต่ความเครียด ไม่มีสิ่งชุบหัวใจให้มีกำลังใจในการสู้ชีวิตต่อไป กาแฟแก้วละ 40 บาทยังถือเป็นของฟุ่มเฟือย หมูกระทะกินเดือนละ 2 ครั้งยังถือเป็นของฟุ่มเฟือย ไม่รวมถึงการที่เธอบอกให้เก็บเงินแต่เอาใส่โอ่งไว้ ซึ่งหากไม่เรียนรู้ที่จะลงทุนแล้ว สุดท้ายก็จะสู้กับเงินเฟ้อไม่ไหว เงินที่มีอยู่ในธนาคารมากแค่ไหนก็มีค่าน้อยลงทุกนาที
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่มองว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นก็เป็นความจริงบางส่วน เช่น หากต้องทำงานในเมือง ควรหาที่พักที่ใกล้กับที่ทำงานเพื่อเดินทางไปมาสะดวก ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือการจดรายรับรายจ่าย เพื่อดูว่าเราเสียเงินไปกับอะไรมากที่สุด จะได้เห็นภาพองค์ใหญ่ว่าเราสามารถตัดค่าใช้จ่ายตรงไหนออกไปได้บ้าง แต่วิธีการพูดของเธอนั้นอาจจะไม่เข้าหูบางคนเท่านั้น







